เก้าอี้ตัวนี้ เป็นเก้าอี้ตัวโปรดของจิตร ภูมิศักดิ์ ระหว่างที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในคุกลาดยาว จิตรถูกจับกุมในวันที่ 21 ตุลาคม 2501 โดยคณะปฏิวัติที่มีจอมพล สฤษดิ์ ธนรัชต์ เป็นหัวหน้า ในข้อหาสมคบกันกระทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในและภายนอกราชอาณาจักร และมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ การคุมขังจองจำของจิตร ภูมิศักดิ์ ถูกโยกย้าย 3 แห่ง คือ กองปราบปทุมวัน เรือนจำลาดยาวใหญ่ และเรือนจำลาดยาวเล็ก ช่วงอยู่ในคุกจิตรมักมีกิจกรรมเด่นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้และเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ ของผู้ต้องขัง เช่น สิทธิในการเยี่ยมญาติ สิทธิในการอ่านหนังสือพิมพ์ เป็นต้น รวมถึงการผลิตผลงานหลายต่อหลายชิ้นขณะนั้น เช่น โฉมหน้าศักดินาไทย ศิลปะเพื่อชีวิตและศิลปะเพื่อประชาชน และกวีการเมือง เป็นต้น หลังได้รับการปล่อยตัวช่วงต้นปี พ.ศ. 2508 กินเวลาไปถึง 6 ปีกว่าหลังการถูกคุมขัง จิตรจึงได้เข้าป่าเพื่อเข้าร่วมในขบวนการประชาชนในช่วงปลายปีนั้นเอง และเขาได้ต่อสู่นานถึง 6 เดือน ก่อนจะเสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2509
Month: January 2022
สมุดบัญชีรายชื่อคอมมิวนิสต์ของตำรวจสันติบาล
รัฐบาลไทยมีความหวาดกลัวต่อภัยคอมมิวนิสต์ นับแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชต่อเนื่องมาถึงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ผู้คนที่มีความคิดแตกต่างในทางการเมืองจำนวนมากถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ คนเหล่านี้จะถูกกวาดล้างจับกุม โดยเฉพาะหลังการรัฐประหารในปี 2490 ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามเย็นระหว่างค่ายทุนนิยมเสรีกับคอมมิวนิสต์ก็ได้ก่อตัวขึ้น และคืบคลานเข้าสู่ประเทศไทยอย่างรวดเร็ว ภายใต้การแทรกแซงของสหรัฐอเมริกาเข้ามาแทนที่มหาอำนาจเก่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยความเชื่อในทฤษฎีโดมิโน่ โดยสนับสนุนรัฐต่าง ๆ ในภูมิภาคให้รับความเชื่อในลัทธิทุนนิยมเสรีและส่งเสริมให้เกิดการสถาปนารัฐบาลเผด็จการทหารเพื่อเป็นปราการในการต่อสู้ป้องกันคอมมิวนิสต์ ในวันที่ 20 ตุลาคม 2501 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากจอมพล ป. และพรรคพวก ด้วยการสนับสนุนของอเมริกาผ่านการสร้างรัฐบาลเผด็จการเบ็ดเสร็จ พร้อมนโยบายและโครงสร้างเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีจนประเทศก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการพัฒนาที่มุ่งส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนอย่างเต็มที่ มีการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับแรกขึ้นมาใช้ในปี 2504 เพื่อรองรับและส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ เน้นภาคอุตสาหกรรมในเมือง ชนบทไทยถูกทอดทิ้งจนผู้คนต้องเข้าแสวงหางานทำในเมืองหลวงเป็นจำนวนมาก ในขณะเดียวกันกฎหมายแรงงานฉบับแรกที่ถูกประกาศใช้เมื่อปี 2499 ถูกยกเลิก การมีอำนาจต่อรองภายใต้การรวมตัวจัดตั้งองค์กรของผู้ใช้แรงงานกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และเป็นการทำลายบรรยากาศการลงทุน และด้วยข้ออ้างในการปราบปรามคอมมิวนิสต์ รัฐบาลได้ลงมือกำจัด กวาดล้าง ผู้มีความคิดเห็นต่างกับรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักหนังสือพิมพ์ ปัญญาชนและผู้นำแรงงานจำนวนมากถูกจับกุมคุมขัง รวมถึงผู้นำแรงงานในขณะนั้น ศุภชัย ศรีสติ ถูกเผด็จการ สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ติดสินประหารชีวิตด้วยมาตรา 17 โดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมใด ๆ สหภาพแรงงานถูกมองว่าเป็นองค์กรของฝ่ายคอมมิวนิสต์ เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติ เอกสารข้างต้น… Continue reading สมุดบัญชีรายชื่อคอมมิวนิสต์ของตำรวจสันติบาล
เอกสารบันทึกกรมแรงงาน การประกวดบทเรียงความ วันกรรมกรแห่งชาติ พ.ศ. 2500
ในปี พ.ศ. 2500-2501 ช่วงปลายของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามได้มีการจัดประกวดเรียงความหัวข้อ “งานทุกอย่างเป็นเกียรติแก่ตน” ซึ่งเป็นดำริของจอมพล ป. ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ที่ดูแลเกี่ยวกับเรื่องแรงงานโดยตรงในขณะนั้น การประกวดเรียงความจึงเป็นกิจกรรมหนึ่งในการจัดงาน วันแรงงานแห่งชาติ ในปี พ.ศ.2500 ซึ่งรัฐบาลได้อนุญาตให้สามารถมีการจัดกิจกรรมวันแรงงานได้อีกครั้งในปี พ.ศ.2499 ก่อนหน้านี้เพียงหนึ่งปีเท่านั้น โดยรัฐบาลให้งบจัดกิจกรรมจำนวน 25,000 บาท แบ่งออกเป็น 9 รางวัล ได้แก่ รางวัลที่ 1 รางวัลละ 5,000 บาท รางวัลที่ 2 รางวัลละ 3,000 บาท รางวัลที่ 3 รางวัลละ 2,000 บาท รางวัลชมเชยจำนวน 6 รางวัลเป็นกล่องบุหรี่ ปรากฎว่าไม่มีใครได้รางวัลที่ 1 และรางวัลที่สองเป็นของภิกษุวัฒนา นวลสุวรรณ เรียงความชนะได้รับรางวัลถูกจัดพิมพ์เป็นหนังสือ จำนวน 5,000 เล่มและอ่านออกอากาศทางวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ ในช่วงปลายของยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีสถานการณ์ขัดแย้งกับสถาบันกษัตริย์… Continue reading เอกสารบันทึกกรมแรงงาน การประกวดบทเรียงความ วันกรรมกรแห่งชาติ พ.ศ. 2500
วันกรรมกรสากล
ภาพถ่ายการชุมนุมวันเมย์เดย์ และรูปถ่ายขบวนแถวของกรรมกรที่ร่วมเดินขบวน เนื่องในการจัดงานฉลองวันกรรมกรสากล เมื่อบันทึกภาพไว้เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2500 โดยวารสารปิตุภูมิ 13 พฤษภาคม พ.ศ.2500 (ปีที่ 2 ฉบับที่ 57) ซึ่งทุกวันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปี ผู้ใช้แรงงานทั่วโลกจะจัดงานเฉลิมฉลองและการชุมนุมใหญ่เพื่อแสดงพลัง ทั่วไปเรียกว่า “วันกรรมกรสากล” หรือ “วันเมย์เดย์” ในประเทศไทยมีการจัดวันกรรมกรอย่างเปิดเผยในที่สาธารณะครั้งแรกปี พ.ศ.2489 โดยสมาคมสหอาชีวะกรรมกรนครกรุงเทพฯ และสมาคมไตรจักร์ สมาคมของคนถีบสามล้อ และในปี 2490 ก็ได้จัดงานวันกรรมกรสากลอย่างยิ่งใหญ่บริเวณท้องสนามหลวง มีคนเข้าร่วมงานกว่าแสนคน เนื่องจากก่อนหน้านั้นรัฐบาลมองว่าวันที่ 1 พฤษภาคม เป็นวันของฝ่ายซ้าย ไม่สามารถจัดกิจกรรมเปิดเผยได้ จนกระทั่งเกิดรัฐประหารวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 วันกรรมกรสากลก็กลายเป็นวันต้องห้ามอีกครั้ง รัฐบาลแทรกแซงสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในขบวนการแรงงานไทย โดยส่งคนจัดตั้งองค์กรแรงงานใหม่ในนาม สมาคมกรรมกรไทย และสมาคมเสรีแรงงานแห่งประเทศไทย พร้อมทั้งจัดสรรงบประมาณให้ปีละหลายแสนบาท ในช่วงปี พ.ศ.2499 องค์แรงงานได้หันมาจับมือกันจัดตั้งร่วมกันอีกครั้ง เพื่อไม่ให้เกิดการแตกแยกและกระจัดกระจาย ในชื่อกลุ่มกรรมกร 16 หน่วย กลุ่มได้เรียกร้องต่าง… Continue reading วันกรรมกรสากล
เอกสารรายงานนัดหยุดงานของคนงานโรงสี
ภายหลังสงครามยุติลง ทหารพันธมิตรเข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นและบังคับให้รัฐบาลไทยต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงคราม โดยให้ส่งข้าวสารจำนวนสองแสนตันแก่อังกฤษ ภายในระยะเวลาที่กำหนด ต้นปี 2489 รัฐบาลจึงเร่งให้โรงสีผลิตข้าวสารทั้งกลางวันและกลางคืน ทำให้คนงานโรงสีทำงานหนักเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว สหบาลกรรมกรกรุงเทพฯ จึงยื่นข้อเสนอแก่ฝ่ายนายจ้างให้ปรับปรุงค่าแรงและสวัสดิการ ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2488 แต่บริษัทได้ปฏิเสธข้อเรียกร้องทั้งหมดโดยอ้างเรื่องการช่วยเหลือรัฐบาล การเจรจาผ่านไปหลายวันจนกระทั่งวันที่ 19 พฤศจิกายน กรรมกรโรงสีเอกชน 21 โรง จำนวน 1,500 คน เริ่มต้นสไตรค์หยุดงาน ก่อนที่กรรมกรโรงสี โรงข้าวสารรวม 50 โรง จำนวนกรรมกรเพิ่มเป็น 3,000 คน พร้อมกันนั้นกรรมกรไทยฝ่ายโรงจักร กุลีท่าเรือ และกรรมกรขนส่งทางน้ำ ต่างพากันหยุดงานมาสนับสนุนด้วย กลายเป็นการสไตรค์แบบทุกภาคส่วน จนถูกฝ่ายนายทุนกล่าวหาโดยใช้หนังสือพิมพ์ปรักปรำว่า การสไตรค์นี้มีอิทธิพลอั้งยี่หนุนหลัง แต่ท้ายที่สุดฝ่ายนายทุนโรงข้าวและโรงสีเอกชนยินยอมตกลงลงนามทำสัญญาต่อกันในวันที่ 27 พฤศจิกายน กรรมกรโรงสี โรงข้าวเอกชน จำนวนกว่า 2,000 คน จึงกลับเข้าทำงานตามเดิม ส่วนทางบริษัทข้าวไทยยืนกรานไม่ยอมรับข้อเสนอของกรรมกรที่สไตรค์ และได้ใช้วิธีการข่มขู่ งดเลี้ยงอาหาร จ้างนักโทษและกุลีตามรถไฟมาแย่งงานแทน เพื่อทำการบีบบังคับให้ฝ่ายกรรมกรยอมแพ้ แต่แล้วกรรมกรโรงสีได้จัดขบวนเข้าสมทบกับกลุ่มอาชีพต่าง ๆ… Continue reading เอกสารรายงานนัดหยุดงานของคนงานโรงสี
ข้อความจดบันทึกของ จอมพล ป.
เอกสารชิ้นนี้เป็นบันทึกขนาดสั้นด้วยลายมือของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีขณะนั้น เขียนขึ้นเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2486 ซึ่งเป็นช่วงระหว่างสงครามโลก โดยจอมพล ป. ได้ไปดูงานที่คลังแสงทหารบกและพบว่า “กัมกรหยิง” ในโรงงานแห่งหนึ่ง ได้รับค่าจ้างที่ต่ำกว่าแรงงานชาย ทั้งที่ในโรงงานส่วนใหญ่มีแรงงานสตรีเป็นหลัก ค่าจ้างที่แรงงานหญิงเหล่านี้ได้รับคือ ชั่วโมงละ 5 สตางค์เพียงเท่านั้น เห็นว่าไม่น่าจะพอใช้จ่ายยังชีพ จึงทำบันทึกสั้น ๆ ระหว่างไปเยี่ยมโรงงานถึง พ.อ.ไชยา ผู้เกี่ยวข้อง ให้รับรู้และไปดำเนินการ หาทางแก้ไข เพื่อให้มีการปรับปรุงค่าจ้างให้สูงขึ้น
หนังสือพิมพ์สุวรรณภูมิเริ่มสงวนอาชีพให้คนไทย
ในยุครัฐบาลจอมพล ป. หนังสือพิมพ์สุวรรณภูมิ ฉบับวันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ.2484 พาดหัวข่าวประเด็นร่างพระราชบัญญัติสงวนอาชีพและวิชาชีพ พ.ศ.2484 ผ่านสภาผู้แทนราษฎร และจะถูกประกาศใช้ในเร็ววัน โดยเริ่มจากการสงวนการอาชีพทางผมให้แก่คนสัญชาติไทยเท่านั้น (ตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ) ไม่กี่เดือนต่อมา วันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2485 รัฐบาลไทยได้ประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกาอันเป็นการนำประเทศไทยเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สองอย่างเต็มตัว ประเทศไทยตกเป็นเป้าโจมตีทางอากาศโดยฝ่ายสัมพันธมิตร ปีเดียวกันนั้นได้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ เหตุการณ์ทั้งสองนี้ได้ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรงและเกิดการขาดแคลนสินค้า อาหาร กิจการธุรกิจของฝ่ายสัมพันธ์มิตรถูกยึดครอง มีผู้คนจำนวนมากต้องตกงาน รัฐทำการแก้ปัญหาโดยการประกาศสงวนอาชีพบางอย่างไว้ให้กับคนไทยอย่างจริงจัง ทั้งยังหันมาลงทุนในอุตสาหกรรมหลายประเภทเช่นโรงงานผลิตกระดาษ โรงงานผลิตเสื้อผ้า โรงงานผลิตกระสอบ ฯลฯ ซึ่งจำเป็นต้องใช้แรงงานจำนวนมาก ทำให้มีการอพยพแรงงานจากชนบทเข้าสู่เมืองมากขึ้น การใช้ประเทศไทยเป็นฐานทัพในการบุกเข้าสู่ดินแดนอาณานิคมของอังกฤษโดยญี่ปุ่น ได้ก่อให้เกิดความต้องการใช้แรงงานจำนวนมาก ญี่ปุ่นได้พยายามบีบให้รัฐบาลควบคุมค่าจ้างแรงงานไว้ โดยเสนอให้มีการออกเป็นกฎหมายกำหนดค่าจ้างขั้นสูงไว้ ซึ่งรัฐบาลไทยไม่เห็นด้วยเพราะถือเป็นการริดรอนสิทธิเสรีภาพของคนงาน ตรงกันข้ามกลับกลายเป็นตัวกระตุ้นให้รัฐบาล หันมาทำการสำรวจสภาพความเป็นอยู่ของคนงานอย่างแท้จริงว่าค่าจ้างขั้นต่ำที่จะทำให้พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ได้ควรเป็นเท่าไร ซึ่งถือเป็นการสำรวจค่าครองครองชีพของคนงานเป็นการใหญ่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย การที่บ้านเมืองตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของรัฐบาลทหารและการครอบครองของกองทัพญี่ปุ่นทำให้เสรีภาพของคนงานถูกลิดรอน กรรมกรส่วนหนึ่งได้รวมตัวกันเคลื่อนไหวเป็นขบวนการใต้ดิน ทำงานร่วมกับขบวนการเสรีไทยและขบวนการคอมมิวนิสต์เพื่อคัดค้านรัฐบาลจอมพล ป. และกองทัพญี่ปุ่น
เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พ.ศ. 2484 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ตัดสินใจนำประเทศไทยเข้าร่วมสงครามกับฝ่ายอักษะโดยร่วมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น กรมโฆษณาการจึงได้จัดทำโปสเตอร์สังกะสีออกปิดตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อชวนเชื่อกับประชาชนคนไทยในขณะนั้นว่า “พี่น้องชาวไทยจงมีความสามัคคีกัน จงเชื่อมั่นในรัฐบาลและกองทัพของเรา มีความเชื่อมั่นว่าเราต้องชะนะ จงระลึกเสมอว่า ข่าวที่มาจากศัตรูย่อมเป็นข่าวร้ายต่อเรา และข่าวที่ไม่ดีสำหรับเราก็คือข่าวของศัตรู” และ “อังกฤษเป็นศัตรูของพวกเรา จงร่วมใจทำลายผู้รุกรานด้วยกันและขอให้ไทยเจริญยิ่ง ๆ ขึ้น ทั้งขอให้บรรลุผลการวางระเบียบโลกใหม่ในอาเซีย” ในกาลต่อมาที่รัฐบาลไทยได้ประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกา ซึ่งเป็นการนำประเทศไทยเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สองอย่างเต็มตัว และทำให้ประเทศไทยตกเป็นเป้าโจมตีทางอากาศโดยฝ่ายพันธมิตร จนเกิดเหตุการณ์ภาวะเงินเฟ้อ การขาดแคลนสินค้า และขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรงจากการถูกยึดครองกิจการธุรกิจ ทำให้เกิดภาวะคนตกงานจำนวนมาก หากย้อนกลับไปในช่วงเดือนธันวาคม ปี พ.ศ. 2481 ช่วงพันเอกหลวงพิบูลสงครามเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น เดิมทีเป็นช่วงเวลาที่มีความตึงเครียดทั้งสถานการณ์ภายในและระหว่างประเทศ รัฐบาลได้มีนโยบายสำคัญที่เรียกว่า “นโยบายสร้างชาติ” คือการนำสยามประเทศเข้าสู่ความเป็นอารยะและมหาอำนาจ เพื่อบรรลุนโยบายดังกล่าว รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการหลายประการอาทิ การปลุกเร้าประชาชนด้วยนโยบายผู้นำนิยม สร้างลัทธิชาตินิยมอย่างเข้มข้นขึ้น มีการปฏิวัติทางวัฒนธรรม โดยชักจูงใจให้ชาวไทยรวมพลังสามัคคีเพื่อสร้างชาติ และเพื่อให้คนไทยมี “วัฒนธรรมดี มีศีลธรรมดี มีอนามัยดี มีการแต่งกายอันเรียบร้อย มีที่พักอาศัยดี และมีที่ทำมาหากินดี” รัฐได้ใช้เครื่องมือหลายอย่างเพื่อบรรลุนโยบายดังกล่าว อาทิ การสร้าง “รัฐนิยม”… Continue reading เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย
เข็มขัดรัฐพาณิชย์
“จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำจะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติไม่ปล่อยให้ราษฎรอดตาย” นี่คือคำมั่นสัญญาของรัฐบาลคณะราษฎร ที่ได้ประกาศชัดเจนในหลัก 6 ประการ ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สยามประเทศต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์อันเนื่องมาจากเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก นับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยที่รัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชไม่อาจแก้ไขปัญหาดังกล่าว ปรากฏว่ามีคนตกงานจำนวนมากและถือเป็นปัญหาใหญ่ของชาติกระทั่งนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเหล่ากรรมกรว่างงานได้ทำหนังสือถึงรัฐบาล ให้จัดหางานให้ทำ รัฐบาลได้ออกกฎหมายเกี่ยวกับการจัดหางานขึ้น 2 ฉบับคือ “พระราชบัญญัติสำนักงานจัดหางาน” และ “พระราชบัญญัติสำนักงานจัดหางานประจำท้องถิ่น” นับเป็นนโยบายแรกของรัฐบาลประชาธิปไตยเกี่ยวกับกรรมกร โดยเป็นนโยบายการหางานให้กรรมกรทำและให้กรรมกรที่ว่างงานไปลงทะเบียนไว้ที่สำนักงานจัดหางาน รวมทั้งได้มีการจัดตั้งแผนกจัดหางานขึ้นในกระทรวงมหาดไทยในปี 2476 นับเป็นหน่วยงานแรกของรัฐที่เข้ามาทำหน้าที่ดูแลงานด้านแรงงานโดยตรง ในปี 2476 รัฐบาลคณะราษฎร โดย ปรีดี พนมยงค์ ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้วางแผนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยปรีดีเสนอเค้าโครงการเศรษฐกิจ หรือพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร โดยใช้แนวทางสังคมนิยมเป็นกรอบในการพัฒนาเศรษฐกิจ ตั้งหลักประกันสังคม รวมถึงการจัดสรรที่ดินและแบ่งปันกำไรอย่างเสมอภาค แต่ท้ายที่สุดกลับถูกต่อต้านอย่างหนักจากฝ่ายอำนาจเก่า ตลอดจนถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ รัฐบาลคณะราษฎรจึงเลือกแนวทางประนีประนาม และใช้นโยบายทางเศรษฐกิจชาตินิยม โดยรัฐบาลได้เข้าไปริเริ่มดำเนินกิจการอุตสาหกรรมด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่ แทนที่กิจการของชาวต่างชาติ หรือที่เรียกว่า “รัฐพาณิชย์” หรือ “ทุนนิยมโดยรัฐ” เช่น กิจการสาธารณูปโภค สาธารณูปการต่าง ๆ ทั้งยังได้ดำเนินการจัดสรรจ้างแรงงานไทยให้เข้าทำงานในกิจการของรัฐมากยิ่งขึ้น นโยบายชาตินิยมทางเศรษฐกิจปรากฏขึ้นอีกครั้งเมื่อหลวงพิบูลสงคราม และหลวงประดิษฐ์มนูธรรมเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคลัง กิจการของชาวต่างชาติหลายอย่างได้ถูกถ่ายมาอยู่ในมือนักลงทุนไทยและรัฐมากขึ้น ซึ่งปรากฏชัดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองอันเป็นช่วงที่ทุนตะวันตกอ่อนแอ
เอกสารก่อตั้งสมาคมรถราง
ประเทศไทยมีการประกาศใช้กฎหมายว่าด้วยการรวมตัวเป็นสโมสรและสมาคม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2440 แต่คนงานและผู้ใช้แรงงานไม่เคยได้รับการยอมรับให้จดทะเบียนเป็นสมาคม แม้มีการยื่นขอจดทะเบียนสมาคมของคนงานหลายต่อหลายครั้ง จึงมีเพียงการรวมตัวกันของแรงงานจีนในรูปแบบของสมาคมลับอั้งยี่ ซึ่งมีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นกรรมกร และต่อมาได้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามเมื่อรัฐบาลออกพระราชบัญญัติอั้งยี่ขึ้นมาบังคับใช้ เพื่อควบคุมสมาคมลับของชาวจีน และเพื่อให้มีการจัดตั้งสมาคมแบบเปิดเผยเป็นทางการขึ้นอันเป็นการสะดวกแก่การตรวจสอบดูแลของรัฐ แต่ถึงกระนั้นรัฐบาลก็ยังไม่ยินยอมที่จะให้แรงงานได้มีการรวมตัวกันจัดตั้งสมาคมคนงานขึ้นตามกฎหมายใหม่นี้ แม้จะมีแรงงานหลายกลุ่มพยายามยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งเป็นสมาคม แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีสมาคมของแรงงานรายใดได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ต้องรอจนกระทั่งหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ไปแล้ว ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สิทธิเสรีภาพของชนชั้นล่างได้รับการยอมรับมากขึ้น กรรมกรเริ่มมีปากมีเสียง เริ่มรวมตัวกันเพื่อจัดตั้งเป็นองค์กร และในเดือนสิงหาคมปีนั้นเอง สมาคมของคนงานที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นสมาคมแรกคือ “สมาคมคนงานรถรางสยาม” ที่นำโดย นายถวัติ ฤทธิเดช ปัญญาชนที่มีบทบาทอันโดดเด่นมาก่อนหน้านี้ในฐานะนักหนังสือพิมพ์กรรมกร และนักจัดตั้งแรงงาน สมาคมคนงานรถรางสยามจึงได้รับการยอมรับให้จดทะเบียนเป็นสมาคมของคนงานแห่งแรกอย่างถูกต้อง และมีใบเอกสารจดทะเบียนของสมาคมรถราง ใบบันทึกสภาผู้แทนราษฎร คำสั่ง 119 อย่างเป็นทางการตามกฎหมาย