ประเทศไทยเป็นชาติที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันยาวนาน ประกอบขึ้นด้วยคนหลากหลายกลุ่มซึ่งล้วนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาประเทศ แต่ประวัติศาสตร์กลับละเลยที่จะจารึกบอกกล่าวเล่าขานเรื่องราวของผู้คนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมและยุติธรรม มีเพียงคนบางกลุ่มบางอาชีพเท่านั้นที่ได้รับการสรรเสริญยกย่องว่ามีบทบาทและมีคุณูปการต่อกระบวนการพัฒนาประเทศ ขณะที่เรื่องราวของคนบางกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้ใช้แรงงานได้ถูกมองข้าม
ทั้งที่ความเป็นจริง ประวัติศาสตร์ของการพัฒนาประเทศไทยมิอาจแยกออกจากประวัติศาสตร์แห่งการสร้างสรรค์ของมวลผู้ใช้แรงงานไทยได้ เพราะในทุกขั้นตอนของกระบวนการพัฒนาประเทศ ผู้ใช้แรงงานจำนวนมหาศาลต้องใช้หยาดเหงื่อและแรงกายตากแดดกรำฝนเพื่อสร้างความสำเร็จให้กับกระบวนการพัฒนาดังกล่าว แม้ว่าแรงงานไทยจะมีความสำคัญถึงเพียงนี้ แต่เรื่องราวของพวกเขากลับกลายเป็นสิ่งลึกลับหายสาบสูญไปจากหน้าประวัติศาสตร์ไทย มีพื้นที่เพียงน้อยนิดบนหน้าประวัติศาสตร์ไทยที่บอกเล่าเรื่องราวของพวกเขาให้สังคมได้รับรู้ ไม่ค่อยมีใครเอ่ยถึงพวกเขาอย่างยกย่องหรือแม้แต่กล่าวถึงผลงานของพวกเขาตามที่เป็นจริง และนี่คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้ใช้แรงงานไทยมีสถานภาพทางสังคมที่ต่ำต้อยกว่าคนกลุ่มอื่นๆ
ด้วยเหตุนี้ผู้ใช้แรงงานส่วนหนึ่งซึ่งตระหนักในประเด็นดังกล่าว จึงได้ปรึกษาหารือและประสานงานกับองค์กรพัฒนาเอกชน, นักวิชาการด้านแรงงาน, นักประวัติศาสตร์และนักจดหมายเหตุ และจัดให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันขึ้นเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2534 ที่ห้องประชุมมูลนิธิฟรีดริคเอแบร์ท ผลของการประชุมครั้งนั้น ที่ประชุมมีมติร่วมกันให้รณรงค์ให้มีการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์แรงงานไทยขึ้น เพื่อเป็นสถานที่รวบรวมและจัดแสดงเรื่องราวของผู้ใช้แรงงานไทย และด้วยการร่วมแรงร่วมใจชนิดช่วยกันคนละไม้คนละมือ ในที่สุดอาคารเก่าแก่ชั้นเดียวที่เคยมีประวัติเป็นสถานีตำรวจรถไฟและที่ทำการสหภาพแรงงานรถไฟ แต่
ภายหลังถูกปล่อยให้เป็นอาคารร้างอยู่นานหลายปี ก็ได้ถูกเนรมิตขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรงของผู้ใช้แรงงาน ให้กลายเป็นสถานที่บอกเล่าเรื่องราวของพวกเขา อันถือเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งแรกในประเทศไทยที่บอกเล่าเรื่องราวของชนชั้นกรรมาชีพ โดยมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม 2536


พิพิธภัณฑ์แรงงานไทย : พิพิธภัณฑ์แห่งศักดิ์ศรีและความภูมิใจของผู้ใช้แรงงาน
อาคารชั้นเดียวที่ถูกดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์แรงงานไทยแห่งนี้มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่น่าสนใจกล่าวคือ ครั้งหนึ่งเคยถูกใช้เป็นสถานีตำรวจรถไฟ ซึ่งห้องขังที่เป็นลูกกรงเหล็กยังปรากฎให้เห็นอยู่ ต่อมาเมื่อสถานีตำรวจรถไฟย้ายไปอยู่ยังสถานที่แห่งใหม่ อาคารแห่งนี้ได้ถูกใช้เป็นที่ทำการสหภาพแรงงานรถไฟอยู่นานหลายปี และเนื่องจากสหภาพแรงงานรถไฟเป็นองค์กรแรงงานที่มีบทบาทอันสำคัญในขบวนการแรงงานและในการต่อสู้คัดค้านเผด็จการ อาคารแห่งนี้จึงมักถูกคุกคามจากฝ่ายเผด็จการ กล่าวคือเกือบทุกครั้งที่มีการรัฐประหาร อาคารแห่งนี้จะถูกควบคุมไว้ ประตูห้องที่ฉีกหักเพราะถูกจามด้วยขวานคือหลักฐานและร่องรอยที่หลงเหลือจากอดีต ซึ่งยืนยันให้เห็นถึงความสำคัญในตัวของมันเองของอาคารแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
หน้าอาคารด้านทิศตะวันตกติดถนน อนุสาวรีย์ที่ทำจากปูนปั้นฝีมือศิลปินเพื่อชีวิต นายสุรพล ปรีชาวชิระ และคณะ ที่สะดุดตาผู้สัญจรผ่านไปมา อนุสาวรีย์แห่งนี้ถูกขนานนามว่า ”อนุสาวรีย์ศักดิ์ศรีแรงงาน” สร้างขึ้นเพื่อยืนยันความมีศักดิ์ศรีของชนผู้ใช้แรงงานไทย และถือกันว่าเป็นอนุสาวรีย์แห่งแรกของผู้ใช้แรงงานอีกด้วย อนุสาวรีย์เป็นรูปปั้นคนงานหญิงชายกำลังผลักกงล้อประวัติศาสตร์ให้เคลื่อนไปข้างหน้าใต้กงล้อมีรถถังถูกบดขยี้ อันบ่งบอกความหมายถึงการคัดค้านเผด็จการ
การบริหารจัดการ
ตั้งแต่เมื่อแรกเริ่ม มี ศาสตราจารย์นิคม จันทรวิทุร เป็นประธานโครงการพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย เมื่อจัดตั้งพิพิธภัณฑ์แล้ว บริหารโดยคณะกรรมการที่มี นายบุญเทียน ค้ำชู อดีตประธานสหภาพแรงงานการ
ไฟฟ้านครหลวง เป็นประธานคนแรก ซึ่งได้ดำเนินการขอจดทะเบียน ก่อตั้งเป็นมูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงาน ไทย เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2539 มีการเลือกประธานและคณะกรรมการบริหารทุก 2 ปีตามข้อบังคับ มีการเชิญผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ให้การสนับสนุนมาเป็นกรรมการกิตติมศักดิ์และที่ปรึกษา ซึ่งผลของการก่อตั้งเป็นมูลนิธิ ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ เป็นที่ไว้วางใจสำหรับผู้ที่ประสงค์จะบริจาคเงินสนับสนุนกิจกรรมของพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย
ปัจจุบันมูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทยมี นายทวีป กาญจนวงศ์ อดีตประธานสหภาพแรงงานการท่าเรือ เป็นประธานมูลนิธิฯ นายวิชัย นราไพบูลย์ เป็นผู้จัดการพิพิธภัณฑ์ มีเจ้าหน้าที่ประจำ 2 คนคือ นางสาวสุมาลี ลายลวด และนางสาววาสนา ลำดี
เป้าประสงค์ และกิจกรรม
พิพิธภัณฑ์แรงงานไทยถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อดำเนินกิจกรรมตามวัตถุประสงค์ 4 ประการ
ประการที่ 1
เพื่อจัดแสดงเรื่องราว ประวัติความเป็นมา ชีวิตความเป็นอยู่ และการทำงานของผู้ใช้แรงงาน โดยนำเสนอผ่านนิทรรศการถาวรภายในพิพิธภัณฑ์ ที่ปัจจุบันมีห้องแสดงรวม 7 ห้อง
วัตถุประสงค์ประการที่ 2
เพื่อเป็นสถานที่สำหรับศึกษาค้นคว้า รวบรวมและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์แรงงานไทย ได้มีการจัดสัมมนา ชำระประวัติศาสตร์แรงงานไทย 2 ครั้ง โดยร่วมกับคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สามารถรวมพิมพ์เป็นหนังสือประวัติศาสตร์แรงงานไทย ได้ 2 เล่มพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย ยังได้จัดโครงการสัมมนาศึกษาประวัติศาสตร์แรงงานไทย ที่มีทั้งการบรรยายประกอบการฉายภาพ ร่วมกับการนำชมนิทรรศการในพิพิธภัณฑ์ มีสหภาพแรงงานหลายแห่ง และนักศึกษากว่า 20 สถาบัน เข้าร่วมตลอดมาถึงปัจจุบัน
วัตถุประสงค์ประการที่ 3
เพื่อเป็นห้องสมุดแรงงานและศูนย์กลางรวบรวมเอกสารชั้นต้น เทปบันทึกเสียงและวิดีโอเทปเกี่ยวกับแรงงาน เพื่อให้บริการแก่สาธารณชน มีห้องสมุดแรงงานชื่อ ศาสตราจารย์ นิคม จันทรวิทุร ที่รวบรวมหนังสือเกี่ยวกับแรงงานไว้ให้บริการค้นคว้าศึกษา ขณะที่ห้องโสตทัศนูปกรณ์ ชื่อ ถวัติ ฤทธิเดช เก็บรวมรวมเทปบันทึกเสียง และวิดีโอบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับแรงงานตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เพื่อบริการในด้านงานจัดทำสารคดีแรงงาน
วัตถุประสงค์ประการที่ 4
เพื่อเป็นศูนย์ศิลปวัฒนธรรมด้านแรงงาน ที่จัดเก็บและจัดแสดงกิจกรรมทางด้านศิลปวัฒนธรรมของคนงาน กิจกรรมหลายอย่างในมิติทางวัฒนธรรมถูกจัดมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการสัมมนาเรื่อง เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของผู้ใช้แรงงาน เรื่องตำนานเพลงเพื่อชีวิตของผู้ใช้แรงงานไทย จัดนิทรรศการเสื้อยืด บันทึกร่วมสมัยตำนานประท้วงไทย นิทรรศการโปสเตอร์แรงงานโลก นิทรรศการป้ายผ้ารณรงค์ของแรงงาน จัดประกวดและจัดนิทรรศการภาพถ่ายแรงงานไทย ณ สิ้นศตวรรษที่ 20 มีการจัดทำเทปเพลงเกี่ยวกับแรงงานชุดตำนานแห่งศรัทธา ที่บันทึกเสียงเพลง คิดถึงตุ๊กตา สะท้อนเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานเคเดอร์ โดยวงภราดร เป็นผู้ขับร้อง อันถือเป็นจุดกำเนิดของวงดนตรีแรงงานหญิง
นอกจากนั้น ยังจัดแสดงดนตรีและการแสดงอื่นของผู้ใช้แรงงาน ในคราวที่มีการจัดกิจกรรมของพิพิธภัณฑ์การเป็นศูนย์กลางแห่งการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นแรงงาน เช่นการจัดเสวนาอภิปราย และการฝึกอบรม โดยได้จัดให้มีการเสวนาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เช่น เสวนาเรื่อง คำให้การประวัติศาสตร์ ว่าด้วยความขัดแย้งในแนวความคิด และแนวทางต่อสู้ของขบวนการแรงงานไทย เสวนาเรื่อง ผู้นำแรงงานหญิงข้ามกาลสมัย ซึ่งมีอดีตผู้นำแรงงานยุคเก่าเข้าร่วมบอกเล่าเรื่องราวแรงงานในยุคก่อนมากมายหลายคน และมีห้องฝึกอบรมคอมพิวเตอร์ ที่จัดเตรียมไว้เพื่อพัฒนาทักษะด้านการทำงาน และการสื่อสารสมัยใหม่ให้กับผู้นำแรงงานและผู้ใช้แรงงาน นอกจากนี้ยังมีองค์กรแรงงาน และองค์กรอื่นๆ มาใช้บริการห้องประชุม ทั้งเพื่อการประชุม และการจัดสัมมนาในวาระต่างๆเสมอ

รายได้ และ การสนับสนุน
พิพิธภัณฑ์แรงงานไทยดำเนินการด้วยเงินบริจาคตลอดมาโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล
นับแต่เริ่มคิดการจัดทำพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย มูลนิธิฟรีดริคเอแบร์ท เป็นผู้สนับสนุนในหลายๆด้าน ตั้งแต่เรื่องการประชุมเตรียมการ การปรับปรุงอาคารสถานที่ การจัดทำนิทรรศการจัดแสดง การจัดหาวัสดุอุปกรณ์ทันสมัย รวมไปถึงการจัดสัมมนาเสวนา ฝึกอบรมในประเด็นประวัติศาสตร์ แรงงาน สนับสนุนการจัดจ้างเจ้าหน้าตั้งแต่เริ่มแรก และเพิ่งจะสิ้นสุดโครงการสนับสนุนไปเมื่อปลายปี พ.ศ.2547 นอกจากนั้น การได้เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฟรีดริคเอแบร์ท ที่เป็นนักประวัติศาสตร์แรงงาน อย่าง ศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา มาช่วยทั้งงานวิชาการ และการลงมือปฏิบัติตั้งแต่เริ่มแรกนั้น เป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้พิพิธภัณฑ์แรงงานไทยหยัดยืนอยู่ได้ถึงปัจจุบัน
ด้านเงินบริจาคนั้น เมื่อเริ่มก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ มีองค์กรแรงงานหลายแห่งลงนามเป็นลายลักษณ์อักษร ในการบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนพิพิธภัณฑ์ มากบ้าง น้อยบ้าง ตามกำลัง จนปัจจุบันแม้จะมีองค์กรแรงงานบริจาคสนับสนุนเพิ่มขึ้นบ้าง แต่
กิจกรรมหารายได้ ก็เป็นเรื่องที่มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเพื่อการอยู่รอด มีการจัดทอดผ้าป่ามาแล้ว 3 ครั้ง เมื่อปีพ.ศ.2538 , 2547 และ2551 จัดคอนเสิร์ตดนตรีเพื่อชีวิต เมื่อปี พ.ศ. 2538 จัดทำเทปเพลง เสื้อยืด และรับบริจาคหนังสือแรงงาน จำหน่ายหารายได้ มีรายได้จากผู้มาใช้ห้องประชุม นอกจากนี้ยังได้รับบริจาคเป็นเงินก้อนใหญ่จากบุคคลทั่วไป และจากการจัดโบว์ลิ่งการกุศลของกระทรวงแรงงาน เงินรายได้จากการจัดพิมพ์และจำหน่ายหนังสือ รวมทั้งยังมีการบริจาครายย่อยอื่นๆ และบริจาคใส่ตู้รับบริจาค
แต่ในความเป็นจริงนั้น รายได้ที่มีเข้ามาก็ยังไม่อาจถือได้ว่าทำให้พิพิธภัณฑ์แรงงานไทยอยู่ในสถานะที่จะสามารถดำเนินการต่อไปได้อย่างมั่นคงเพียงพอ นั่นเพราะว่าภาระค่าใช้จ่ายมีอยู่สูงมาก ทั้งการจัดจ้างเจ้าหน้าที่ ค่าโทรศัพท์ ไฟฟ้า น้ำประปา รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในสำนักงานที่ทุกวันนี้ พิพิธภัณฑ์แรงงานไทยมีภารกิจเพิ่มมากขึ้นจากการเป็นศูนย์ติดต่อประสานงานในภารกิจเพื่อผู้ใช้แรงงานโดยตลอด เช่น กิจกรรมช่วยเหลือแรงงานผู้ประสบภัยถึง 2 ครั้ง คือจากเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิถล่มภาคใต้ปี 2547 และล่าสุดเมื่อปลายปี 2554 ในเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ รวมทั้งเหตุเฉพาะหน้าอื่นๆอีก
จากก้าวย่างของพิพิธภัณฑ์แรงงานไทยที่ได้ข้ามผ่านกาลเวลามากว่า 3 ทศวรรษแล้วนั้น พิพิธภัณฑ์แรงงานไทยกลายเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่ง ให้คนที่ต้องการศึกษาหาความรู้เรื่องราวของแรงงานไทยได้แวะเวียนมาเยี่ยมชม ซึ่งมีทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ทั้งที่เป็นนักเรียน นักศึกษา ผู้ใช้แรงงาน หรือแม้แต่ประชาชนทั่วไป รวมทั้งยังกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ที่มีเรื่องราวบรรจุไว้ในหนังสือและแผนที่ท่องเที่ยวของทั้งเขตราชเทวี ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และคู่มือท่องเที่ยวของต่างชาติ ทำให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติแวะเวียนมาอยู่เสมอ
พิพิธภัณฑ์แรงงานไทย จะสามารถดำรงอยู่เพื่อแบกรับภารกิจประวัติศาสตร์ ในการเป็นสัญลักษณ์แห่งคุณค่าและศักดิ์ศรีของผู้ใช้แรงงานของไทยได้อีกยาวนานเพียงใด ก็เป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้แรงงาน ประชาชนทั่วไป รวมทั้งรัฐบาล ที่จะตระหนักถึงความสำคัญและช่วยกันรักษาสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่มีคุณค่าต่อสังคมไทยให้คงอยู่สืบไป