จากประสบการณ์การเป็นนักดนตรีอิสระ มองเห็นว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพที่ถูกลดทอนความสำคัญลง สังเกตได้จากค่าตัวนักดนตรีกลางคืนที่ตัดราคาจนเหลือรอบละไม่กี่ร้อยบาท แล้วคนที่ประกอบอาชีพนี้แล้วมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีวิตและการจุนเจือครอบครัวมักจะมีเส้นสายในแวดวง นักดนตรีที่ไม่มีเส้นสายจึงมีหลากหลายวิธีเพื่อให้ได้มาซึ่งงาน รวมไปถึงวิธีตัดราคาที่ได้กล่าวไปแล้วด้วย นอกจากนี้ ในสถานการณ์ปัจจุบันทำให้งานเล่นลดน้อยลงมาก หลาย ๆ คนจำเป็นต้องย้ายสายงานทั้ง ๆ ที่อาจไม่เคยมีประสบการณ์ในสายงานนั้นมาก่อน เพื่อให้มีรายได้เลี้ยงชีพ
Category: เรื่องราวของคุณ
นักแสดงกับแรงงานที่มองไม่เห็น
เด็กฝึกงาน
“เด็กฝึกงาน” เป็น VDO Performance ที่คอลเลคเตอร์ (collector) หรือผู้รวบรวมคอลเลคชัน ได้เปิดพื้นที่ให้ศิลปินได้สร้างงานศิลปะชิ้นหนึ่งโดยไม่จำกัดเทคนิคจากประสบการณ์ของตัวศิลปินเอง โดยศิลปินได้เลือกถ่ายทอดประสบการณ์ที่ตนเองได้รับเมื่อตอนฝึกงานในขณะที่ยังเรียนในระดับมหาลัยฯ ภาษา ภาพ สี การเคลื่อนไหวทุกกริยาบท และเทคนิคต่างๆในวิดิโอได้แสดงออกถึง ความรู้สึก ความคิดต่อวัฒธรรมการฝึกงาน และประสบการณ์ส่วนตัวของศิลปิน วิดีโอชิ้นนี้เป็นเพียงหนึ่งประสบการณ์ของ “เด็กฝึกงาน” หนึ่งคน จากอีกหลายหมื่นคนในสังคมไทย ที่ต้องเผชิญหน้ากับเงื่อนไขและข้อจำกัดเพื่อผ่านการฝึกงานในแต่ละปี
แรงงานก่อสร้าง
ตอนสมัยอยู่ไทย เข้าไปทำงานในกรุงเทพแถวสุวรรณภูมิ ไปทำงานก่อสร้าง มีญาติมาชวนไปทำ เค้าเป็นพี่ชายของปู่ที่เป็นผู้รับเหมา แต่ทำได้แค่เดือนเดียวนะ ไม่ไหวลาออกก่อน ตอนนั้นตำแหน่งที่เรียกภาษาบ้านๆ คือ จับกัง ยกของ ผสมปูน ตักปูนให้คนฉาบ ยกไม้ให้ช่างเลื่อย ขนหิน ขนทราย ก่อนไปทำหัวหน้าบอกว่าให้ค่าเเรงวันละ 400 บาท เห็นว่าเป็นญาติก็เลยเชื่อใจ เริ่มงานตั้งแต่ เจ็ดโมงเช้า เลิกห้าหกโมงเย็น แล้วแต่วัน จันทร์ถึงศุกร์ มีค่ารถรับส่งเพราะต้องเดินทางไปกับเค้า นั่งรถกระบะไป ค่ารถตกวันละ 35 บาท ถ้าจำไม่ผิด ค่าข้าวเที่ยงวันละ 20 บาท ทุกคนจ่ายให้หัวหน้าเเล้วหัวหน้าออกไปซื้อวัตถุดิบ มาทำกินกันทุกวัน ทำแบบนี้ทุกวันจนวันครบเงินเดือนออก หัวหน้าก็อ้างว่าเงินไม่พอ แต่เค้าก็ให้มาก่อน จากที่ควรได้วันละ 600 บาท + + วันนั้นช่างส่วนใหญ่ได้มา ตกวันละ 200 บาท ไอเรานี่หนักเลยได้มาเหลือวันละ 100 บาท บายเลย5555 ก็ประมาณนี้ทำแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เพราะไม่ไหว
แท้จริงแล้ว คำตอบอยู่ที่ใคร?
การกดขี่ขูดรีดที่เกิดขึ้นกับพี่น้องผู้ใช้แรงงานที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องยาวนานและนับวันที่จะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นจากการนำเทคโนโลยี่มาทดแทนการผลิตแทนคน และยิ่งมาพบกับการแพร่ระบาดของโรคร้ายทำให้ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากมากยิ่งขึ้น อนาคตจะเป็นอย่างไร์ เราจะรับมือและแก้ไขมันอย่างไร และปกป้องชีวิตเรา ครอบครัวเราอย่างไร คำตอบใช่อยู่ที่ใคร แท้จริงแล้วคำตอบอยู่ที่ตัวเราและมวลหมู่พี่น้องคนงานทุกคน ว่าเราจะเข้าใจวิถีของการกดขี่ขูดรีด วิถี วิธีการปกป้องตนเองครอบครัวและพวกพ้อง สำคัญเหนืออื่นใดเราต้องเข้าใจว่าลำพังคนๆเดียวมิอาจต่อสู้กับพลังของการกดขี่ขูดรีดได้ แต่หากเราสามัคคีรวมกันให้เหนียวแน่นอย่างเป็นพลัง เราก็จะสามารถหยุดยั้งการกดขี่ขูดรีดได้…จงเชื่อมั่นในพลังของคนงาน พลังของสหภาพแรงงาน และ ร่วมกันจัดตั้งให้เกิดการรวมกลุ่มของคนงานให้กว้างใหญ่ไพศาล เพื่อชีวิตที่ดีของพวกเราทุกคน….. อดีตพนักงานรถไฟ/อดีตประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย(สร.รฟท.) อดีตเลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์(สรส.)
นักเรียนก็เป็นแรงงานของระบบทุนนิยมเช่นกัน
นักเรียนก็เป็นแรงงานของระบบทุนนิยมเช่นกัน ต้องทำหน้าที่คือเรียน เพื่อออกจากโรงงานอีกทีหนึ่งไปต่ออีกที่ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ โดนสังคมหลอกมาตลอดด้วยคำพูดที่สวยหรู เหนื่อยวันนี้สบายวันหน้า / เรียนเก่งๆจะได้หางานสบายๆมีเงินเลี้ยงดูผู้ปกครอง ครอบครัว นักเรียนต้องแบกภาระมากมายด้วยคำว่าอนาคตของชาติ , สอนให้โตขึ้นมาทำความดีเพื่อชาติ แต่สิ่งที่เรียกว่าชาติแท้จริงคืออะไร ถ้าแค่เรียนหนังสือให้เก่งแค่นี้ก็สามารถช่วยชาติได้แล้วใช่ไหม สังคมก็สนใจแค่คนที่พิเศษ คนที่เรียนเก่ง คนที่วาดรูปสวย ส่วนคนที่เป็นเป็ดแบบเราก็คงอยู่ในมุมมืดแล้วปรบมือแสดงความยินดีพร้อมกับความขมขื่นใจเล็กน้อยที่ไม่สามารถเหมือนเขา ตอนนี้เราอยู่ม.3 กำลังขึ้นม.4 เราตื่น เราใช้ชีวิต พร้อมกับความแพนิคในทุกวัน รู้สึกอยากจะอ้วกตลอดเวลา เราไม่รู้หนทาง ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชีวิตตัวเองเลย รู้สึกผิดในทุกคืนที่ไม่สามารถเหมือนใครได้ เราคิดอะไรไม่ออกเลย ทุกครั้งที่แปรงฟันก็จะคิดถึงอะไรแย่ๆตลอด เราทั้งเรียนไม่เก่ง วาดรูปไม่สวย เล่นเกมส์ไม่เก่ง ไม่มีอะไรวิเศษแต่เราไม่ได้อยากวิเศษอะไรเลยนะ คิดแบบนี้มาตลอดเลย แต่ถ้าโตขึ้นมันก็วิเศษใช่ไหมล่ะ! ไม่งั้นก็ไม่มีใครสนใจ ไม่มีงานสิ ไม่คิดเลยว่าการใช้ชีวิต15ปีมันจะทรมานขนาดนี้เลยค่ะ เราคิดตลอดเลยว่าอ่า ถ้าไม่ต้องใช้ชีวิตคงจะดีกว่านี้นะ มีแต่นำ้ทั้งนั้นเลย ยังไงก็ขอบคุณมากๆที่สร้างฟอร์มนี้ขึ้นมาเหมือนมีคนมารับฟังเราเลยค่ะ ถ้าไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ/ไม่ต้องจุดประสงค์ต้องขอโทษด้วยนะคะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ขอให้พบเจอแต่สิ่งดีๆนะคะ
พยายามหนักมาก เพื่อที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่มันดูจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น
เราเคยทำงานในองค์กรรัฐวิสาหกิจที่มีแต่คนบอกว่าอยากให้ลูกหลานได้เข้าไปทำงาน แต่เราทำไปได้ครึ่งปี เราไม่มีความสุขเลย งานสบายมาก แต่เราไม่ได้ใช้ศักยภาพของตัวเอง ไม่สนุกในการทำงาน หลายๆอย่างไม่เมคเซ้นตามสไตล์ที่เรารู้ๆกัน ท้ายที่สุดเราตัดสินใจลาออกกลับมาทำเอกชนในแวดวงที่เราสนใจ เราสนุกกับการทำงานมากขึ้นนะ ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างแบบที่คิดไว้เลย แต่เราทำงานหนัก กดดัน และไม่มีเวลาเท่าไหร่เลย จนเราถามตัวเองอีกครั้งนึงว่าเราอยากทำหรืออยากเป็นแบบนี้จริงๆหรอ เราตัดสินใจผิดรึป่าวนะ เรารู้สึกว่าในประเทศนี้ไม่มีพื้นที่ให้คนสามารถเอนจอยกับการทำงานและต้องการ work-life balance เลย เหมือนถ้าเลือกอย่างใดอย่างนึง ก็คงต้องเสียอีกอย่างไป ซึ่งมันไม่น่าจะเป็นอย่างงั้นเลย หรือเราอาจจะยังหาที่ทำงานที่เหมาะกับเราไม่ได้เองก็ไม่รู้นะ มันแค่รู้สึกแบบไม่ฟิตอินเลย หลายครั้งเรารู้สึกว่าเราพยายามหนักมาก เพื่อที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่มันก็ดูจะไม่ได้เป็นอย่างงั้นเท่าไหร่ ด้วยระบบและโครงการสังคมแบบนี้ แต่เราก็หวังนะว่ามันจะดีขึ้น ขอให้ทุกคนที่กำลังสู้อยู่ได้เจอนายจ้างที่ดี ปีนี้ได้เพิ่มเงินเดือนเยอะๆนะคะ ได้เจอหัวหน้าที่มองเห็นศักยภาพของคุณและมีความเป็นมนุษย์เยอะๆ ได้ใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการกันทุกคนเลยนะ อย่าลืมรักษาสิทธิของตัวเองกันด้วยนะ วันลาเราห้ามทำงานนะะ
ค่าแรงบาริสต้าในไทยไม่ถูกให้ค่า
ก่อนกลับมาไทยเราเคยทำงาน Hospitality ที่ออสเตรเลียมาก่อน ทำงานไปเรียนไปอยู่ที่นั่นประมาณเกือบจะ4ปี งานส่วนใหญ่ที่ทำก็เสริฟ์อาหาร เหล้า ทำกาแฟ หลังๆพออยู่นานมีประสบการณ์เขาก็เลื่อนขั้นให้เราเป็น supervisor แต่ก่อนจะได้เป็นเราก็โดนโควิทเสียก่อนจึงกลับมาไทย เราถือว่า เราทำงานไม่หนักมากถ้าเทียบกันคนไทยอื่นๆที่อยู่ที่นู่น เราหยุดเยอะ ลงร้านเยอะ แต่ได้เงินที่สมเหตสมผลมาก เฉลี่ยแล้วเราได้เงินเกือบ 7หมื่นบาทต่อเดือนเราคิดว่าเราทำงานหนักแล้ว แต่พอกลับมาไทยที่ไทยดันแย่เสียกว่าอีก ที่นู่นเราทำเกือบจะ 10ชม แต่ได้เงินต่อวันเฉลี่ยแล้ว 150$ หรือเกือบ 3,750 บาทต่อวันรวมหักภาษีแล้วด้วย แต่ที่ไทยเราทำ 10.30ชั่วโมง แต่ได้เงินวันละ 600 แถมยังต้องทำทุกอย่างซึ่งเรารู้สึกว่ามันเหนื่อยมาก งานบริการของที่นั่นไม่ต่างจากงาน พนักงานแบงค์ คนขับรถไฟ หรือแม้แต่นางพยาบาลเลย ทุกคนต่างทำงานบริการเหมือนกันต่างกันแค่บริบทแต่ได้รับเกียรติความเป็นมนุษย์เท่ากัน ซึ่งต่างจากไทยมาก หากสังคมไทยสอนเด็กในโรงเรียนหรือแม้แต่ในครอบครัวว่าทุกอาชีพมีค่าเท่ากันประเทศไทยก็คงไม่มีการลดทอนความเป็นคนมากขนาดนี้ งานบริการ งานทำเครื่องดื่มหรืออาหาร เป็นงานฝีมือ ทุกอย่างต้องผ่านการเก็บประสบการณ์ ความรู้กว่าจะมาทำอาชีพนี้กันได้ พอคนจ้างคิดว่ามันก็แค่การชงน้ำ เค้าก็กดค่าแรงเข้าไปอีก แต่คุณรู้มั้ย การทำกาแฟมันไม่ใช่แค่การบดกาแฟเข้าเครื่องแล้วได้กาแฟออกมาแล้วจบ งานพวกนี้คุณต้องดูอุณหภูมิ คุณภาพของน้ำ คุณภาพการคั่วของกาแฟ เมล็ดที่ใช้จะได้รสชาติออกมายังไง ไหนจะเรื่องใส่นม ใส่น้ำ หวานไม่หวานตามใจคนไทยอีก การชงก็มีหลายแบบหลายวิธี มันยากนะคุณหรือต้องมาเจอลูกค้าที่ไม่ดื่มเครื่องดื่ม… Continue reading ค่าแรงบาริสต้าในไทยไม่ถูกให้ค่า