เอกสารต้นร่างสัญญาบัตรขุนนางในกรุง

สำหรับรัฐจารีตโบราณกระทั่งถึงช่วงต้นรัตนโกสินทร์ “กำลังคน” ถือเป็นทรัพยากรสำคัญทั้งทางเศรษฐกิจ การเมืองและการทหาร สังคมไทยในยุคอดีต “ระบบไพร่” ได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมและเกณฑ์แรงงานผู้คนให้มาทำงานและสร้างผลประโยชน์ให้กับรัฐ และผู้ปกครอง (มูลนาย) ระบบไพร่ยังเป็นเครื่องมือในการกำหนดสถานภาพ หน้าที่ ตลอดจนความรับผิดชอบของกลุ่มคนและเป็นเครื่องมือในการแบ่งชนชั้นและบ่งบอกชนชั้นในสังคม ณ ช่วงเวลานั้น มีข้อสันนิษฐานว่ารัฐจารีตของไทยตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของสมัยสุโขทัยเป็นต้นมา ได้แบ่งคนในสังคมออกเป็น 2 ชนชั้น คือ ชนชั้นผู้ปกครอง และชนชั้นผู้ถูกปกครอง ชนชั้นผู้ปกครองหรือมูลนายประกอบด้วย พระมหากษัตริย์ เจ้านายและขุนนาง ส่วนชนชั้นผู้ถูกปกครอง ได้แก่ ไพร่ และ ทาส เอกสารต้นร่างสัญญาบัตรขุนนางในกรุงชิ้นนี้ คือ เอกสารการแต่งตั้งข้าราชการในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีการกำหนดจำนวนศักดินาให้กับขุนนางต่างๆ

เอกสารภาษี

ในช่วงเวลาดังกล่าว ชาวสยามยังเป็นแรงงานบังคับภายใต้ระบบไพร่ ไม่มีอิสระที่จะทำงานหรือหารายได้ด้วยตนเอง จึงมีการนำเอาแรงงานจากจีนเข้ามาแก้ปัญหาในส่วนนี้ โดยคนจีนที่อพยพเข้ามาทำงานในเมืองไทยหรือที่เรียกว่า “จีนนอก” และลูกหลานจีนนอกที่ไม่มีสังกัดมูลนายในระบบไพร่ ต้องถูกเกณฑ์แรงงานเช่นเดียวกับไพร่ ต่างกันตรงที่ไพร่ทั้งหลาย (ไม่ว่าจะเป็นคนไทย ลาว เขมร จีน) ต้องถูกเกณฑ์แรงงานทุกปี ส่วนการเกณฑ์แรงงานคนจีนมีทุก 3 ปี  ระยะเวลามากน้อยต่างกัน เช่น 1 หรือ 2 เดือน แล้วแต่ราชการจะกำหนด หากแต่คนจีนที่ไม่ต้องการถูกเกณฑ์แรงงานต้องเสียเงินแทนการเกณฑ์แรงงาน เป็นการเรียกเก็บเงินภาษีรายหัวที่เรียกว่า “ผูกปี้ข้อมือจีน“ แทน ซึ่งค่าผูกปี้จะตกอยู่ราวปีละ 2 บาท คนจีนคนใดจ่ายเงินให้กับรัฐแล้วจะได้รับการผูกปี้ครั่งที่ข้อมือซ้าย ลักษณะเป็นปมเหลือชายไว้ประมาณ 1 นิ้ว แล้วใช้ครั่งลนไฟแล้วกดลงที่ปมเชือกเป็นก้อนกลม แล้วตามด้วยการประทับตราสำคัญของทางราชการ 2 ดวง คือ  “ตรานามเมือง” และ “ตรารูปสิ่งของหรือรูปสัตว์” ลงบนครั่งด้านละตรา ปี้ที่ผูกไว้นี้ใช้เป็นหลักฐานการเสียภาษีแทนการเกณฑ์แรงงานคนจีนที่อพยพเข้ามาทำงานในประเทศไทยสมัยก่อน อันเป็นสัญลักษณ์ว่ามีอิสระที่จะเดินทางไปไหนมาไหนหรือรับจ้างใด ๆ ได้ และจะตัดปี้ทิ้งได้ก็ต่อเมื่อพ้นช่วงเวลาของการเสียภาษี ในระหว่างนั้นหากคนจีนคนใดไม่มีปี้ผูกไว้ที่ข้อมือจะต้องเสียภาษีใหม่ คนจีนที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงานและเสียภาษีผูกปี้คือ จีนขุนนาง เช่น เจ้าภาษี นายอากร… Continue reading เอกสารภาษี

เอกสารเปิดประเทศกับอเมริกา

“พลเมืองของกรุงสยามตามกฎหมายจัดอยู่ในประเภทไพร่หรือข้าผู้รับใช้ของรัฐและจะถูกบังคับให้มีหน้าที่สละแรงงานให้แก่รัฐไม่ว่ารูปใดก็ได้เป็นระยะเวลา 3 เดือนทุกๆปี หากไม่สามารถเข้ามาประจำการได้จะต้องส่งเงินหรือสิ่งของเป็นส่วยแทนค่าแรง ซึ่งนับเป็นภาษีที่เป็นภาระหนัก” (บันทึกของจอห์น ครอว์เฟิร์ด) ระบบเศรษฐกิจแบบพอยังชีพและระบบไพร่ที่ผู้คนยังต้องถูกบังคับไปทำงาน เพื่อส่งส่วยให้กับรัฐและเจ้าขุนมูลนาย ได้ทำให้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมหรือการผลิตเพื่อการค้าพัฒนาเติบโตล่าช้าในประเทศไทย ขณะที่ซีกโลกตะวันตกมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม และระบบทุนนิยมได้พัฒนาจนกลายเป็นแนวทางหลักของการดำเนินเศรษฐกิจไปแล้ว แต่ในช่วงเวลาดังกล่าวสยามยังอยู่ภายใต้ระบบศักดินา โดยมีระบบเศรษฐกิจที่เรียกว่า “เศรษฐกิจพอยังชีพ” ซึ่งมีชุมชนหมู่บ้านเป็นหน่วยการผลิตสำคัญ และกระจายอยู่ทั่วประเทศ ทำการผลิตทุกอย่างทั้งเกษตรกรรม กสิกรรมและหัตถกรรม เพื่อการกินใช้ภายในชุมชนเป็นสำคัญ เพราะหากมีผลผลิตส่วนเกินที่เหลือจากการบริโภคอาจถูกรัฐและเจ้าขุนมูลนายริบเอาเข้าเป็นของหลวงหรือเป็นของมูลนายเสียเอง  ทุนนิยมและการจ้างงานในสยามถูกกระตุ้นจากการเปิดประเทศ และการเชื่อมต่อกับทุนนิยมโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่งกับอังกฤษในปี พ.ศ.2398 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดประตูการค้ากับชาติตะวันตกซึ่งได้นำความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงมาสู่สยามในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจดั้งเดิมที่เป็นการผลิตเพื่อการกินใช้ในชุมชนได้พัฒนาสู่การผลิตเพื่อการค้ามากขึ้น ระบบการค้าขายที่แต่เดิมเป็นระบบการค้าผูกขาดโดยรัฐได้ถูกเปลี่ยนไปเป็นการค้าเสรี มีการขยายตัวของการลงทุนในกิจการต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากชาวต่างชาติ อุตสาหกรรมที่มีการใช้เครื่องจักรสมัยใหม่เข้าช่วยในการผลิตและมีการจ้างงานแรงงานจำนวนมากได้ขยายตัวขึ้นในแบบที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน ทำให้เกิดการขยายตัวของแรงงานรับจ้างคือ “ผู้ที่ทำงานโดยได้รับค่าจ้างเป็นการตอบแทนไม่ใช่แรงงานบังคับในระบบไพร่-ทาสที่ทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง” อย่างที่เคยเป็นมาในสังคมไทยในช่วงเวลาก่อนหน้านั้น ซึ่งต่อมามีผลทำให้ระบบแรงงานบังคับไพร่-ทาสต้องเสื่อมสลายและถูกยกเลิกไปในที่สุด

เอกสารเกณฑ์ไพร่พล ไทย-มอญ

สังคมไทยแต่เดิมเป็นสังคมศักดินา คนส่วนใหญ่ในสังคมเป็นแรงงานบังคับที่เรียกกันว่าไพร่ และร้อยละ 80-90 จะเป็นไพร่ เมื่อเป็นเช่นนั้นชนชั้นไพร่จึงนับเป็นพื้นฐานของสังคม ไพร่ คือ ราษฎรสามัญทั่วไป ทั้งชายและหญิงที่มิได้เป็นมูลนายและมิได้เป็นทาส มีศักดินา 10-25 (ไร่) ไพร่ทุกคนจะต้องลงทะเบียนขึ้นสังกัดกับมูลนาย อย่างไรก็ตาม ไพร่ชายและหญิงมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ ไพร่ชายจะถูกเกณฑ์มาทำราชการโยธาตามกำหนดเวลาเป็นประจำ สำหรับไพร่หญิงส่วนใหญ่จะเพียงแต่นำมาขึ้นทะเบียนเป็นไพร่ มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ถูกเกณฑ์แรงงาน และงานที่ถูกเกณฑ์มาทำมักเป็นงานเบากว่างานของไพร่ชาย โดยปกติแล้วเมื่อเอ่ยคำว่า “ไพร่” มักหมายถึง “ไพร่ชาย” คนไทยและชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ เช่น มอญ ลาว พม่า ต้องถูกสักข้อมือ (สักหมายหมู่) เป็นไพร่ถูกเกณฑ์แรงงานโดยมูลนาย การสักสักหมายหมู่จึงเป็นมาตรการที่เกิดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาไพร่หนี มาตรการนี้ได้เริ่มใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2316 ในสมัยธนบุรี และในปีต่อมา (พ.ศ. 2317) ได้มีการออกกฎหมายที่ระบุให้ไพร่ทุกคนต้องสักชื่อเมืองและชื่อมูลนายไว้ที่ข้อมือ เดิมหลักฐานที่บ่งชี้บอกว่าผู้ใดเป็นไพร่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่บัญชีหางว่าว การสักสักหมายหมู่เป็นสิ่งที่บ่งบอกสถานะความเป็นไพร่ที่จะติดตามตัวไพร่ไปทุกหนทุกแห่ง ด้วยมาตรการนี้ทำให้ไพร่หลบหนีจากเมืองหนึ่งไปอยู่อีกเมืองหนึ่งได้ลำบากขึ้น ส่วนทางการก็สามารถติดตามไพร่ที่หนีสังกัดได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นกฎหมาย พ.ศ. 2317 มีการกำหนดโทษผู้ปลอมแปลงเหล็กสักหรือขโมยเหล็กสักของหลวงไปใช้ โดยกำหนดให้มีโทษประหารชีวิต (ทั้งโคตร) ในสมัยต่อมา สมัยรัตนโกสินทร์ก็ได้มีการรับเอามาตรการในเรื่องของการสักสักหมายหมู่เป็นแนวปฏิบัติสืบมา… Continue reading เอกสารเกณฑ์ไพร่พล ไทย-มอญ

เอกสารค้าทาส

ในสังคมสยาม (ไทยโบราณ) ผู้เป็นฐานกำลังสำคัญในกระบวนการผลิตและการพัฒนาประเทศก็คือ แรงงานบังคับที่เรียกกันว่า “ไพร่” และ “ทาส” มาถึงวันนี้วันที่ประเทศไทยได้เข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 อย่างสมบูรณ์ ผู้ใช้แรงงานหรือคนทำงานที่ยังคงเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ก็ยังคงเป็นฟันเฟืองสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของประเทศ แม้ว่าแรงงานจะมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในตลอดช่วงเวลาของประวัติศาสตร์อันยาวนานของประเทศนี้ แต่เรื่องราวของพวกเขากลับกลายเป็นสิ่งลึกลับ และหายสาบสูญไปจากหน้าประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสตร์ของรัฐเอาแต่ยกย่องเชิดชูชนชั้นสูงเพียงหยืบมือเดียวในสังคม แต่กลับละเลยและมองไม่เห็นความสำคัญของแรงงาน ที่มีเรื่องราว บทบาท คุณค่าและคุณูประการของผู้คนที่ได้อุทิศตนทำงานให้กับประเทศมาอยากยาวนาน แรงงานในประเทศนี้ ยังคงเป็นกลุ่มคนผู้อาภัพที่ทุ่มเททำงานให้กับสังคมอย่างเหน็ดเหนื่อย  แต่ถูกมองว่าต่ำต้อยด้อยค่าในสังคมเสมอมา พวกเขาเคยมีสภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากแค้นลำเค็ญอย่างไรในครั้งอดีต ในปัจจุบันก็พวกเขาก็ยังคงมีสถานะทางสังคมที่ไม่ได้แตกต่างจากอดีตที่ผ่านมา แรงงานยังคงได้รับส่วนแบ่งจากการเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการผลิตเป็นค่าจ้างเพียงน้อยนิด ไม่มีความมั่นคงในการทำงาน  ขาดสวัสดิการพื้นฐานที่ดีและเพียงพอ งานหลายประเภทยังอยู่ในสภาพที่ไม่ปลอดภัย ในแต่ละปีจะมีผู้ใช้แรงงานต้องเสียชีวิต เป็นโรค ได้รับบาดเจ็บและเผชิญปัญหานานาประการที่เกิดจากการทำงานอยู่เป็นจำนวนมาก