โปสเตอร์คอมมิวนิสต์หรือเสรีภาพ

ในยุคสงครามเย็น หลังเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาก้าวขึ้นมามีบทบาทในฐานะผู้นำโลก ขณะที่รัฐไทยยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้านต่าง ๆ จากสหรัฐอเมริกา มีการออกโปสเตอร์เพื่อใช้ในการต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์ไทย ผ่านการนำเสนอภาพคอมมิวนิสต์ในฐานะอุดมการณ์ที่เลวร้าย นำมาซึ่งความหายนะ ทุกข์ยากแก่คนในประเทศชาติ โฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้คนในสังคมเกิดความหวาดกลัว และต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์  โปสเตอร์ชุด “คอมมิวนิสต์ หรือ เสรีภาพ” ถูกผลิตมาเพื่อแสดงการเปรียบเทียบสังคมไทยที่มีเสรีภาพและสังคมไทยที่เป็นคอมมิวนิสต์ผ่านมุมมองต่าง ๆ ในสังคม อาทิ วิถีชีวิตทั่วไป ความสุขความบันเทิงของประชาชน สภาพเศรษฐกิจฐานรากภายใต้รัฐบาลแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ชีวิตเกษตรกรไทย การสร้างฐานมวลชน จัดตั้งแบบบังคับขู่เข็ญให้หวาดกลัวและเชื่อฟัง การพิจารณาคดีชำระความผ่านศาลเตี้ย การแสดงความเคารพผู้อาวุโสและครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนวิชาความรู้ และระบบการศึกษาในประเทศคอมมิวนิสต์ที่สั่งสอนให้เกลียดชังประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น ภาพโปสเตอร์ชิ้นที่ทุกท่านเห็นอยู่นี้ เป็นภาพโปสเตอร์ในชุดคอมมิวนิสต์หรือเสรีภาพ ในมิติชีวิตเกษตรกรไทย กล่าวคือ หากอยู่ในประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์ ชีวิตเกษตรกรหรือราษฏรจะไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของที่ดิน และทุกคนจะถูกบังคับให้ทำงานหนักเยี่ยงวัวควาย หากแต่ประเทศไทยไม่หลงเชื่อและรับเอาคอมมิวนิสต์ จะมีเสรีภาพ ชาวนาไทยจะมีกรรมสิทธิในที่นาทำกินของตน

จะเข้ของจิตร ภูมิศักดิ์

จิตร ภูมิศักดิ์ ปัญญาชน นักคิด นักปฏิวัติคนสำคัญของประเทศ เป็นศิลปินที่แต่งเพลงสะท้อนปัญหาของชนชั้นแรงงานหลายต่อหลายเพลงในระหว่างที่เขาถูกจับกุม ในวันที่ 21 ตุลาคม 2501 โดยเผด็จการ สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และถูกย้ายสถานที่คุมขังในช่วงต้นปี พ.ศ. 2503 เนื่องจากนโยบายการไล่จับคอมมิสนิสต์ของคณะปฏิวัติ ทำให้คนล้นคุก และคุกไม่มีที่เพียงพอในการคุมขัง จิตร ภูมิศักดิ์ จึงถูกขังที่คุกลาดยาว โดยมีกิจกรรมอ่านหนังสือ เขียนกวีการเมือง และแต่งเพลง จำนวนหลายชิ้น จิตรมีเครื่องดนตรี “จะเข้” ชิ้นนี้ ใช้ในการประพันธ์เพลงสำคัญ ๆ หลายบทเพลงที่คุกลาดยาวในช่วงเวลานั้น

เนื้อและโน๊ตเพลงศักดิ์ศรีของแรงงาน

แม้ประเทศชาติจะถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดของอำนาจเผด็จการ แต่จิตใจที่ยังมั่นคง ยืนหยัดในอุดมการณ์แห่งชนชั้นกรรมชีพของแรงงานไทยไม่เคยเจือจางลง สิ่งเหล่านั้นถูกถ่ายทอดผ่านเนื้อเพลงและโน้ตดนตรีที่ จิตร ภูมิศักดิ์ เขียนขึ้นระหว่างถูกคุมขังในคุกลาดยาว คุกลาดยาวในช่วงเวลานั้นมีทั้งผู้นำแรงงานและนักต่อสู้เพื่อสังคมหลายคนถูกคุมขังอยู่ บทเพลงศักดิ์ศรีของแรงงาน เป็นเพียงหนึ่งในหลายบทเพลงของจิตรที่เขียนขึ้นภายในคุกลาดยาว เพลงรำวงวันเมย์เดย์ ที่ร้องกันในขบวนแถวของผู้ใช้แรงงานในทุกวันนี้ก็ถูกประพันธ์ขึ้นโดย จิตร ภูมิศักดิ์ ที่เขียนขึ้นเพื่อร่วมเฉลิมฉลองวันกรรมกรสากลขณะที่ถูกจองจำ นับได้ว่าเพลงปฏิวัติต่าง ๆ ของจิตร ภูมิศักดิ์ เป็นมรดกทางปัญญาและมรดกทางวัฒนธรรม เพื่อปลุกใจไม่ให้ท้อแท้แด่ชนชั้นปฏิวัติทั้งหลาย

เก้าอี้ภายในห้องขัง ของจิตร ภูมิศักดิ์

เก้าอี้ตัวนี้ เป็นเก้าอี้ตัวโปรดของจิตร ภูมิศักดิ์ ระหว่างที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในคุกลาดยาว จิตรถูกจับกุมในวันที่ 21 ตุลาคม 2501 โดยคณะปฏิวัติที่มีจอมพล สฤษดิ์ ธนรัชต์ เป็นหัวหน้า ในข้อหาสมคบกันกระทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในและภายนอกราชอาณาจักร และมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ การคุมขังจองจำของจิตร ภูมิศักดิ์ ถูกโยกย้าย 3 แห่ง คือ กองปราบปทุมวัน เรือนจำลาดยาวใหญ่ และเรือนจำลาดยาวเล็ก ช่วงอยู่ในคุกจิตรมักมีกิจกรรมเด่นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้และเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ ของผู้ต้องขัง เช่น สิทธิในการเยี่ยมญาติ สิทธิในการอ่านหนังสือพิมพ์ เป็นต้น รวมถึงการผลิตผลงานหลายต่อหลายชิ้นขณะนั้น เช่น โฉมหน้าศักดินาไทย ศิลปะเพื่อชีวิตและศิลปะเพื่อประชาชน และกวีการเมือง เป็นต้น  หลังได้รับการปล่อยตัวช่วงต้นปี พ.ศ. 2508 กินเวลาไปถึง 6 ปีกว่าหลังการถูกคุมขัง จิตรจึงได้เข้าป่าเพื่อเข้าร่วมในขบวนการประชาชนในช่วงปลายปีนั้นเอง และเขาได้ต่อสู่นานถึง 6 เดือน ก่อนจะเสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2509

สมุดบัญชีรายชื่อคอมมิวนิสต์ของตำรวจสันติบาล

รัฐบาลไทยมีความหวาดกลัวต่อภัยคอมมิวนิสต์ นับแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชต่อเนื่องมาถึงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ผู้คนที่มีความคิดแตกต่างในทางการเมืองจำนวนมากถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ คนเหล่านี้จะถูกกวาดล้างจับกุม โดยเฉพาะหลังการรัฐประหารในปี 2490 ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามเย็นระหว่างค่ายทุนนิยมเสรีกับคอมมิวนิสต์ก็ได้ก่อตัวขึ้น และคืบคลานเข้าสู่ประเทศไทยอย่างรวดเร็ว ภายใต้การแทรกแซงของสหรัฐอเมริกาเข้ามาแทนที่มหาอำนาจเก่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยความเชื่อในทฤษฎีโดมิโน่ โดยสนับสนุนรัฐต่าง ๆ ในภูมิภาคให้รับความเชื่อในลัทธิทุนนิยมเสรีและส่งเสริมให้เกิดการสถาปนารัฐบาลเผด็จการทหารเพื่อเป็นปราการในการต่อสู้ป้องกันคอมมิวนิสต์  ในวันที่ 20 ตุลาคม 2501 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากจอมพล ป. และพรรคพวก ด้วยการสนับสนุนของอเมริกาผ่านการสร้างรัฐบาลเผด็จการเบ็ดเสร็จ พร้อมนโยบายและโครงสร้างเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีจนประเทศก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการพัฒนาที่มุ่งส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนอย่างเต็มที่ มีการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับแรกขึ้นมาใช้ในปี 2504 เพื่อรองรับและส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ เน้นภาคอุตสาหกรรมในเมือง ชนบทไทยถูกทอดทิ้งจนผู้คนต้องเข้าแสวงหางานทำในเมืองหลวงเป็นจำนวนมาก ในขณะเดียวกันกฎหมายแรงงานฉบับแรกที่ถูกประกาศใช้เมื่อปี 2499 ถูกยกเลิก การมีอำนาจต่อรองภายใต้การรวมตัวจัดตั้งองค์กรของผู้ใช้แรงงานกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และเป็นการทำลายบรรยากาศการลงทุน  และด้วยข้ออ้างในการปราบปรามคอมมิวนิสต์ รัฐบาลได้ลงมือกำจัด กวาดล้าง ผู้มีความคิดเห็นต่างกับรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักหนังสือพิมพ์ ปัญญาชนและผู้นำแรงงานจำนวนมากถูกจับกุมคุมขัง รวมถึงผู้นำแรงงานในขณะนั้น ศุภชัย ศรีสติ ถูกเผด็จการ สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ติดสินประหารชีวิตด้วยมาตรา 17 โดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมใด ๆ สหภาพแรงงานถูกมองว่าเป็นองค์กรของฝ่ายคอมมิวนิสต์ เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติ เอกสารข้างต้น… Continue reading สมุดบัญชีรายชื่อคอมมิวนิสต์ของตำรวจสันติบาล

เอกสารบันทึกกรมแรงงาน การประกวดบทเรียงความ วันกรรมกรแห่งชาติ พ.ศ. 2500

ในปี พ.ศ. 2500-2501 ช่วงปลายของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามได้มีการจัดประกวดเรียงความหัวข้อ “งานทุกอย่างเป็นเกียรติแก่ตน” ซึ่งเป็นดำริของจอมพล ป. ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ที่ดูแลเกี่ยวกับเรื่องแรงงานโดยตรงในขณะนั้น การประกวดเรียงความจึงเป็นกิจกรรมหนึ่งในการจัดงาน วันแรงงานแห่งชาติ ในปี พ.ศ.2500 ซึ่งรัฐบาลได้อนุญาตให้สามารถมีการจัดกิจกรรมวันแรงงานได้อีกครั้งในปี พ.ศ.2499 ก่อนหน้านี้เพียงหนึ่งปีเท่านั้น  โดยรัฐบาลให้งบจัดกิจกรรมจำนวน 25,000 บาท แบ่งออกเป็น 9 รางวัล ได้แก่ รางวัลที่ 1 รางวัลละ 5,000 บาท รางวัลที่ 2 รางวัลละ 3,000 บาท รางวัลที่ 3 รางวัลละ 2,000 บาท รางวัลชมเชยจำนวน 6 รางวัลเป็นกล่องบุหรี่ ปรากฎว่าไม่มีใครได้รางวัลที่ 1 และรางวัลที่สองเป็นของภิกษุวัฒนา นวลสุวรรณ เรียงความชนะได้รับรางวัลถูกจัดพิมพ์เป็นหนังสือ จำนวน 5,000 เล่มและอ่านออกอากาศทางวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ ในช่วงปลายของยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีสถานการณ์ขัดแย้งกับสถาบันกษัตริย์… Continue reading เอกสารบันทึกกรมแรงงาน การประกวดบทเรียงความ วันกรรมกรแห่งชาติ พ.ศ. 2500

วันกรรมกรสากล

ภาพถ่ายการชุมนุมวันเมย์เดย์ และรูปถ่ายขบวนแถวของกรรมกรที่ร่วมเดินขบวน เนื่องในการจัดงานฉลองวันกรรมกรสากล เมื่อบันทึกภาพไว้เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2500 โดยวารสารปิตุภูมิ 13 พฤษภาคม พ.ศ.2500 (ปีที่ 2 ฉบับที่ 57) ซึ่งทุกวันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปี ผู้ใช้แรงงานทั่วโลกจะจัดงานเฉลิมฉลองและการชุมนุมใหญ่เพื่อแสดงพลัง ทั่วไปเรียกว่า “วันกรรมกรสากล” หรือ “วันเมย์เดย์”  ในประเทศไทยมีการจัดวันกรรมกรอย่างเปิดเผยในที่สาธารณะครั้งแรกปี พ.ศ.2489 โดยสมาคมสหอาชีวะกรรมกรนครกรุงเทพฯ และสมาคมไตรจักร์ สมาคมของคนถีบสามล้อ และในปี 2490 ก็ได้จัดงานวันกรรมกรสากลอย่างยิ่งใหญ่บริเวณท้องสนามหลวง มีคนเข้าร่วมงานกว่าแสนคน เนื่องจากก่อนหน้านั้นรัฐบาลมองว่าวันที่ 1 พฤษภาคม เป็นวันของฝ่ายซ้าย ไม่สามารถจัดกิจกรรมเปิดเผยได้ จนกระทั่งเกิดรัฐประหารวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 วันกรรมกรสากลก็กลายเป็นวันต้องห้ามอีกครั้ง รัฐบาลแทรกแซงสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในขบวนการแรงงานไทย โดยส่งคนจัดตั้งองค์กรแรงงานใหม่ในนาม สมาคมกรรมกรไทย และสมาคมเสรีแรงงานแห่งประเทศไทย พร้อมทั้งจัดสรรงบประมาณให้ปีละหลายแสนบาท ในช่วงปี พ.ศ.2499 องค์แรงงานได้หันมาจับมือกันจัดตั้งร่วมกันอีกครั้ง เพื่อไม่ให้เกิดการแตกแยกและกระจัดกระจาย ในชื่อกลุ่มกรรมกร 16 หน่วย กลุ่มได้เรียกร้องต่าง… Continue reading วันกรรมกรสากล

เอกสารรายงานนัดหยุดงานของคนงานโรงสี

ภายหลังสงครามยุติลง ทหารพันธมิตรเข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นและบังคับให้รัฐบาลไทยต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงคราม โดยให้ส่งข้าวสารจำนวนสองแสนตันแก่อังกฤษ ภายในระยะเวลาที่กำหนด ต้นปี 2489 รัฐบาลจึงเร่งให้โรงสีผลิตข้าวสารทั้งกลางวันและกลางคืน ทำให้คนงานโรงสีทำงานหนักเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว สหบาลกรรมกรกรุงเทพฯ จึงยื่นข้อเสนอแก่ฝ่ายนายจ้างให้ปรับปรุงค่าแรงและสวัสดิการ ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2488 แต่บริษัทได้ปฏิเสธข้อเรียกร้องทั้งหมดโดยอ้างเรื่องการช่วยเหลือรัฐบาล การเจรจาผ่านไปหลายวันจนกระทั่งวันที่ 19 พฤศจิกายน กรรมกรโรงสีเอกชน 21 โรง จำนวน 1,500 คน เริ่มต้นสไตรค์หยุดงาน ก่อนที่กรรมกรโรงสี โรงข้าวสารรวม 50 โรง จำนวนกรรมกรเพิ่มเป็น 3,000 คน พร้อมกันนั้นกรรมกรไทยฝ่ายโรงจักร กุลีท่าเรือ และกรรมกรขนส่งทางน้ำ ต่างพากันหยุดงานมาสนับสนุนด้วย กลายเป็นการสไตรค์แบบทุกภาคส่วน จนถูกฝ่ายนายทุนกล่าวหาโดยใช้หนังสือพิมพ์ปรักปรำว่า การสไตรค์นี้มีอิทธิพลอั้งยี่หนุนหลัง แต่ท้ายที่สุดฝ่ายนายทุนโรงข้าวและโรงสีเอกชนยินยอมตกลงลงนามทำสัญญาต่อกันในวันที่ 27 พฤศจิกายน กรรมกรโรงสี โรงข้าวเอกชน จำนวนกว่า 2,000 คน จึงกลับเข้าทำงานตามเดิม ส่วนทางบริษัทข้าวไทยยืนกรานไม่ยอมรับข้อเสนอของกรรมกรที่สไตรค์ และได้ใช้วิธีการข่มขู่ งดเลี้ยงอาหาร จ้างนักโทษและกุลีตามรถไฟมาแย่งงานแทน เพื่อทำการบีบบังคับให้ฝ่ายกรรมกรยอมแพ้ แต่แล้วกรรมกรโรงสีได้จัดขบวนเข้าสมทบกับกลุ่มอาชีพต่าง ๆ… Continue reading เอกสารรายงานนัดหยุดงานของคนงานโรงสี

ข้อความจดบันทึกของ จอมพล ป.

เอกสารชิ้นนี้เป็นบันทึกขนาดสั้นด้วยลายมือของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีขณะนั้น เขียนขึ้นเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2486  ซึ่งเป็นช่วงระหว่างสงครามโลก โดยจอมพล ป. ได้ไปดูงานที่คลังแสงทหารบกและพบว่า “กัมกรหยิง” ในโรงงานแห่งหนึ่ง ได้รับค่าจ้างที่ต่ำกว่าแรงงานชาย ทั้งที่ในโรงงานส่วนใหญ่มีแรงงานสตรีเป็นหลัก ค่าจ้างที่แรงงานหญิงเหล่านี้ได้รับคือ ชั่วโมงละ 5 สตางค์เพียงเท่านั้น เห็นว่าไม่น่าจะพอใช้จ่ายยังชีพ จึงทำบันทึกสั้น ๆ ระหว่างไปเยี่ยมโรงงานถึง พ.อ.ไชยา ผู้เกี่ยวข้อง ให้รับรู้และไปดำเนินการ หาทางแก้ไข เพื่อให้มีการปรับปรุงค่าจ้างให้สูงขึ้น

หนังสือพิมพ์สุวรรณภูมิเริ่มสงวนอาชีพให้คนไทย

ในยุครัฐบาลจอมพล ป. หนังสือพิมพ์สุวรรณภูมิ ฉบับวันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ.2484 พาดหัวข่าวประเด็นร่างพระราชบัญญัติสงวนอาชีพและวิชาชีพ พ.ศ.2484 ผ่านสภาผู้แทนราษฎร และจะถูกประกาศใช้ในเร็ววัน โดยเริ่มจากการสงวนการอาชีพทางผมให้แก่คนสัญชาติไทยเท่านั้น (ตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ)  ไม่กี่เดือนต่อมา วันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2485 รัฐบาลไทยได้ประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกาอันเป็นการนำประเทศไทยเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สองอย่างเต็มตัว ประเทศไทยตกเป็นเป้าโจมตีทางอากาศโดยฝ่ายสัมพันธมิตร ปีเดียวกันนั้นได้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ เหตุการณ์ทั้งสองนี้ได้ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรงและเกิดการขาดแคลนสินค้า อาหาร กิจการธุรกิจของฝ่ายสัมพันธ์มิตรถูกยึดครอง มีผู้คนจำนวนมากต้องตกงาน รัฐทำการแก้ปัญหาโดยการประกาศสงวนอาชีพบางอย่างไว้ให้กับคนไทยอย่างจริงจัง ทั้งยังหันมาลงทุนในอุตสาหกรรมหลายประเภทเช่นโรงงานผลิตกระดาษ โรงงานผลิตเสื้อผ้า โรงงานผลิตกระสอบ ฯลฯ ซึ่งจำเป็นต้องใช้แรงงานจำนวนมาก ทำให้มีการอพยพแรงงานจากชนบทเข้าสู่เมืองมากขึ้น การใช้ประเทศไทยเป็นฐานทัพในการบุกเข้าสู่ดินแดนอาณานิคมของอังกฤษโดยญี่ปุ่น ได้ก่อให้เกิดความต้องการใช้แรงงานจำนวนมาก ญี่ปุ่นได้พยายามบีบให้รัฐบาลควบคุมค่าจ้างแรงงานไว้ โดยเสนอให้มีการออกเป็นกฎหมายกำหนดค่าจ้างขั้นสูงไว้ ซึ่งรัฐบาลไทยไม่เห็นด้วยเพราะถือเป็นการริดรอนสิทธิเสรีภาพของคนงาน ตรงกันข้ามกลับกลายเป็นตัวกระตุ้นให้รัฐบาล หันมาทำการสำรวจสภาพความเป็นอยู่ของคนงานอย่างแท้จริงว่าค่าจ้างขั้นต่ำที่จะทำให้พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ได้ควรเป็นเท่าไร ซึ่งถือเป็นการสำรวจค่าครองครองชีพของคนงานเป็นการใหญ่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย การที่บ้านเมืองตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของรัฐบาลทหารและการครอบครองของกองทัพญี่ปุ่นทำให้เสรีภาพของคนงานถูกลิดรอน กรรมกรส่วนหนึ่งได้รวมตัวกันเคลื่อนไหวเป็นขบวนการใต้ดิน ทำงานร่วมกับขบวนการเสรีไทยและขบวนการคอมมิวนิสต์เพื่อคัดค้านรัฐบาลจอมพล ป. และกองทัพญี่ปุ่น