ผ้าโพกศีรษะสีแดง “หญิงไทยไม่ใช่ทาส” ชิ้นนี้ทำขึ้นโดยนักสหภาพแรงงานสตรีใช้คาดหัวในการรณรงค์เรียกร้องสิทธิของสตรีในวันสตรีสากล 8 มีนาคม ปี 2546 หลังจากนั้นไม่ปรากฎการใช้ผ้าโพกศรีษะผืนนี้ในขบวนรณรงค์เรียกร้องสิทธิในวันสตรีสากล โดยในช่วงหลังจะเป็นการใช้ผ้าสีม่วง และใช้เสื้อเป็นสัญลักษณ์แทนผ้าโพกศรีษะ การเดินขบวนรณรงค์เรียกร้องสิทธิในวันสตรีสากลวันนั้น นำโดยกลุ่มผู้ใช้แรงงานหญิงจาก 37 องค์กร และมีผู้เข้าร่วมเดินขบวนจำนวนกว่า 200 คน จากลานพระบรมรูปทรงม้าไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นข้อเรียกร้องให้มีการปรับปรุงสิทธิสตรีในที่ทำงาน 6 ข้อ แก่นายกรัฐมนตรี ดังนี้ ให้แก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ปี 2541 มาตรา 15 เรื่องการเกษียณอายุการทำงานของแรงงานหญิงให้เท่าเทียมกับแรงงานชาย ให้แก้ไข พ.ร.บ.ประกันสังคม มาตรา 39 กรณีการจ่ายเงินสมทบของคนงานตกงาน ให้รัฐบาลเร่งจัดตั้งกองทุนสำหรับคนงานที่ถูกเลิกจ้าง เช่น กรณีนายจ้างย้ายฐานการผลิต เป็นต้น โดยให้นายจ้างเป็นผู้จ่ายเงินเข้ากองทุน ให้จัดตั้งสถาบันคุ้มครองสุขภาพ ความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมในสถานประกอบการ ขยายกฎหมายให้คุ้มครองถึงแรงงานนอกระบบ เช่น กฎหมายประกันสังคม กฎหมายคุ้มครองแรงงาน เป็นต้น สร้างกลไกในการพัฒนาและส่งเสริมให้แรงงานหญิงมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเชิงนโยบายทุกระดับ
Category: Collection – Room 7
รณรงค์ยกเลิกจ้างเหมาช่วง
หลังเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมเฟื่องฟู ยิ่งก่อให้เกิดการเร่งการผลิตและการจ้างงานในปริมาณมากในระบบสายพาน แต่เพื่อให้ได้มาซึ่งกำไรที่มากขึ้นแต่ต้นทุนยังคงต่ำ สภาพการจ้างงานรูปแบบจ้างเหมาค่าแรงจึงเป็นที่นิยมของกลุ่มทุน เพราะนอกจากต้นทุนค่าแรงถูกแล้ว ยังไม่มีต้นทุนทางสวัสดิการให้สถานประกอบกิจการต้องรับผิดชอบ และจ้างงานได้ง่าย เลิกจ้างได้เร็วโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยใด ๆ เมื่อต้องการปรับลดต้นทุนการบริหาร ระบบอุตสาหกรรมแต่ละแห่งจึงเน้นการจ้างแรงงานเหมาค่าแรงมากกว่า หรือใช้ทดแทนแรงงานประจำบางส่วน รวมถึงเป็นการลดทอนอำนาจการต่อรองในสหภาพแรงงานได้อีกทอด ภายหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ประเทศไทยได้มีการผลักดันการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจภายใต้นโยบายเปิดเสรีอุตสาหกรรมยานยนต์เพื่อส่งเสริมการส่งออก โดยให้สิทธิพิเศษแก่นายทุนที่ย้ายฐานการผลิตเข้ามายังประเทศไทยเพื่อดันประเทศให้เป็นศูนย์กลางการผลิตในภูมิภาค ยิ่งส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมเติบโตต่อเนื่องทั้งระบบและเกิดการขยายตัวการจ้างงานรูปแบบจ้างเหมาค่าแรงในปริมาณมากให้ตอบโจทย์และแข่งขันในระบบทุนนิยมได้ แรงงานในระบบจ้างเหมาค่าแรงจึงมักตกหล่น ไม่ได้รับสิทธิแรงงานตามกฎหมายแรงงานไทยอย่างเท่าเทียมและเสมอภาคเมื่อเทียบกับแรงงานประจำ จึงเปรียบได้ว่าเป็นการเติบโตบนการขูดรีดผลประโยชน์และความมั่นคงในชีวิตของแรงงานจ้างเหมาค่าแรง แม้จะมีการแก้ไขกฎหมายใหม่หลายครั้ง เพื่อให้กำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของนายจ้างต่อแรงงานรับเหมาค่าแรง ในทางปฏิบัติแรงงานรับเหมาค่าแรงยังคงได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการที่ไม่เป็นธรรมจนถึงปัจจุบัน และยังคงมีการจ้างงานแรงงานรับเหมาค่าแรงอย่างแพร่หลายในภาคอุตสาหกรรมหนักผ่านบริษัทตัวแทนรับเหมาค่าแรง เหตุผลหลักของแรงงานที่เลือกทำงานเป็นลูกจ้างเหมาค่าแรง หรือผ่านบริษัทรับเหมาค่าแรงนั่นคือ บริษัทรับเหมาค่าแรงทำให้แรงงานเข้าถึงงานได้จริง ง่าย รวดเร็ว แม้มีคุณสมบัติที่ไม่ตรงกับที่โรงงานกำหนดไว้ และได้รับค่าตอบแทน สวัสดิการที่คำนวณเป็นตัวเงินแตกต่างจากแรงงานประจำประมาณเดือนละหลายพันบาทต่อเดือน สะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของตลาดแรงงานไทย และการยอมรับต่อความเหลื่อมล้ำในการจ้างงาน แม้จะมีแรงงานรับเหมาค่าแรงถูกละเมิดสิทธิ และไร้ความมั่นคงในการทำงานก็ตาม อ้างอิง มนตรี ปานแดง และ สุภาพร นาจันทัศ. การละเมิดสิทธิแรงงานในระบบการจ้างเหมาค่าแรงในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเลคทรอนิคส์ ยานยนต์ และโลหะ. กรุงเทพฯ: ศูนย์อเมริกันเพื่อแรงงานนานาชาติ, 2549. สุวรรณา ตุลยวศินพงศ์. “จ้างเหมาค่าแรง สะท้อนคุณภาพชีวิตแรงงานไทย” สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย.… Continue reading รณรงค์ยกเลิกจ้างเหมาช่วง
สวัสดิการศูนย์เลี้ยงเด็ก
เนื่องในวันสตรีสากล 8 มีนาคม พ.ศ. 2540 แรงงานกลุ่มต่าง ๆ ยังคงมีการจัดกิจกรรม รณรงค์ รวมถึงยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลเช่นเดิมในทุก ๆ ปี เพียงแต่ข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลในปีนี้นั้น คณะทำงานสตรีสากล ซึ่งประกอบไปด้วย ฝ่ายสตรีสภาองค์การลูกจ้างสภาแรงงานแห่งประเทศไทย สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ กลุ่มสหภาพแรงงานต่าง ๆ และองค์กรพัฒนาเอกชนด้านสตรี ได้ร่วมกันเสนอให้รัฐบาลมีนโยบายและแผนปฏิบัติการที่ชัดเจนในเรื่อง “สวัสดิการศูนย์เลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียน ในย่านอุตสาหกรรมและชุมชน” ให้เพียงพอ โดยรัฐต้องจัดสรรงบประมาณที่ชัดเจนให้ส่วนนี้แก่กระทรวงแรงงาน และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อให้สามารถจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กเล็กได้ พร้อมทั้งเน้นการให้บริการเลี้ยงดูบุตรก่อนวัยเรียนของลูกจ้างและประชาชนที่มีรายได้ต่ำในชุมชนหรือย่านอุตสาหกรรมนั้น ๆ รวมถึงองค์กรชุมชน องค์กรแรงงาน ตลอดจนแรงงานในท้องถิ่นในย่านอุตสาหกรรมนั้น ๆ จะต้องมีส่วนร่วมในการจัดตั้ง บริหาร และการจัดการให้มีคุณภาพ ตอบสนองต่อความต้องการประชาชนได้อย่างแท้จริง หากแต่ระยะเวลาล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบัน นโยบายด้านดังกล่าวกลับไม่ถูกพูดถึง แม้ในสภาผู้แทนราษฎรจะมีการอภิปรายด้านงบประมาณ ในปี พ.ศ. 2562 เป็นต้นมา ให้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อสร้างศูนย์เด็กเล็กในท้องถิ่นก็ตาม อ้างอิง บัณฑิตย์ ธนชัยเศรษฐวุฒิ. ขบวนการสหภาพแรงงานไทยจาก รสช. ถึงยุค IMF. กรุงเทพฯ: มูลนิธิอารมณ์… Continue reading สวัสดิการศูนย์เลี้ยงเด็ก
เราสู้! เพื่อประกันการว่างงาน
ผ้าโพกศีรษะรณรงค์เรื่องประกันการว่างงาน ขบวนการแรงงานหลายกลุ่มพยายามเรียกร้องสิทธิว่างงานมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ. 2540 แต่เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจจนทำให้แรงงานถูกเลิกจ้างจำนวนมาก ทำให้กระแสการเรียกร้องยิ่งเข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะกระแสจากแรงงานสิ่งทอ สหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอฯ ได้เริ่มจัดสัมมนาเผยแพร่ความรู้ความสำคัญประกันสังคมด้านการว่างงาน ตั้งแต่เดือนแรกของปี 2540 รวมทั้งมีการจัดงานร่วมเสนอข้อมูล ข้อคิดเห็นแลกเปลี่ยนในสมาชิกสหภาพกับประชาชนทั่วไปเพื่อเตรียมพร้อมทางความคิดตลอดทั้งปี แม้ว่าในช่วงวิกฤติ สำนักงานประกันสังคมจะลดอัตราเงินสมทบจากอัตรา 1.5 ของค่าจ้างให้เหลือ 1% ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี พ.ศ.2541-2543 ก็ตาม แต่ลูกจ้างหลายกลุ่มมองว่า คนตกงานจำนวนมากยังขาดหลักประกันสังคมที่รองรับอย่างเป็นธรรมและเพียงพอ ควรคิดการขยายสิทธิประโยชน์ไปช่วยคนงานที่ถูกเลิกจ้างให้ได้รับสวัสดิการจากกองทุนฯมากขึ้นแทนการลดเงินสมทบ จนกระทั่งในวันที่ 27 กันยายน 2544 คณะกรรมการประกันสังคม ได้มีมติให้ความเห็นชอบเงื่อนไขและหลักเกณฑ์การดำเนินงานประกันสังคม กรณีการว่างงาน ตามที่คณะอนุกรรมการเตรียมการประกันสังคมกรณีการว่างงานเสนอ แม้รัฐบาล โดยกระทรวงแรงงานจะพยายามหลีกเลี่ยงและยืดระยะเวลาในการบังคับใช้กรณีการว่างงานออกไปด้วยเหตุผลต่าง ๆ ก็ตาม ภายหลังจึงมีการประกาศใช้ โดยเริ่มเก็บเงินสมทบตั้งแต่ 1 ม.ค. 2547 และเริ่มจ่ายประโยชน์ทดแทน 1 ก.ค. 2547 โดยรัฐบาลไทยรักไทย และต่อเนื่องไปจนถึงสมัยพรรคชาติพัฒนาเป็น รมว. ได้ประกาศใช้ แม้ในช่วงแรกจะประสบปัญหาด้านเทคนิค อาทิ ความล่าช้าของระบบประกันสังคม เนื่องจากเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วประเทศมีอยู่เพียง 85… Continue reading เราสู้! เพื่อประกันการว่างงาน
จักรอุตสาหกรรมดาวรุ่งไทยในอดีต
จักรเย็บผ้าในโรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอ นับว่าเป็นเครื่องจักรและอุตสาหกรรมดาวรุ่งของประเทศไทยในอดีตเป็นอย่างมาก แต่แล้วเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี 2540 หลายธุรกิจล้มละลาย ประกอบกับการย้ายฐานการผลิตขนานใหญ่ เพื่อไปแสวงหาแรงงานราคาถูกในการผลิต สำหรับการแข่งขันในตลาดเสรี ทำให้โรงงานสิ่งทอมีการปิดตัวลงจำนวนมาก คนงานถูกเลิกจ้างนับหลายหมื่นราย ตัวอย่างคนงานตัดเย็บเสื้อผ้าส่งออกย่านรังสิต บริษัท ไทยแอร์โร่การ์เม้นท์ มีคนงานประมาณ 3,000 กว่าคน และบริษัท ไทยแอร์โร่ (บริษัทใหญ่) มีคนงานอีกประมาณ 2,000 กว่าคน รวมทั้งสองโรงงานในเครือ มีคนงานประมาณ 5,000 กว่าคน ถูกเลิกจ้างกระทันหันและนายจ้างไม่มีการจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่แรงงานได้รับผลกระทบจากวิกฤตต้มยำกุ้ง รวมถึงความไม่เป็นธรรมจากกฎหมาย และนายจ้างเป็นอย่างมาก จนมีการรวมตัวกันฟ้องศาล เจรจาข้อเรียกร้องในปี 2542 และยืดเยื้อกินระยะเวลาถึงปลายปี 2543 เพื่อยึดทรัพย์สินต่าง ๆ ภายในโรงงาน นำเครื่องจักรและอุปกรณ์อื่น ๆ ออกประมูลขาย เพื่อให้ได้เงินกลับมาเยียวยาคนงานกันเอง ภายหลังจากโรงงานปิดตัวลง แต่ถึงกระนั้นเงินที่ได้รับจากการประมูลขายก็ยังไม่เพียงพอในการจ่ายให้ครบทุกคน และไม่เพียงพอต่อค่าชดเชยที่ควรจะได้รับตามกฎหมาย ปี 2542 เจรจาข้อเรียกร้อง
แรงงานภายใต้วิกฤตเศรษฐกิจ
ชุดฟอร์มโรงงานสิ่งทอ บริษัท ไทยเอโร่ การ์เม้นต์ จำกัด โรงงานหนึ่งในอุตสาหกรรมสิ่งทอจำนวนมากที่ต้องปิดตัวลงไปจากการแข่งขันกันอย่างรุนแรงในอุตสาหกรรมสิ่งทอระดับโลก และจากการได้รับผลกระทบวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกลางปี 2540 หรือที่เรียกว่า วิกฤตต้มยำกุ้ง ระบบเศรษฐกิจทั้งระบบตกอยู่ในสภาวะวิกฤต การลงทุนหยุดชะงัก ธุรกิจการค้าและอุตสาหกรรมจำนวนมากปิดตัวลง โดยเฉพาะโรงงานสิ่งทอ วิกฤตการณ์ครั้งนี้ทำให้รัฐบาลจำต้องกู้เงินและขอความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF และธนาคารโลก พ่วงด้วยเงื่อนไข IMF ที่ก่อให้เกิดชุดกฎหมายเศรษฐกิจ 11 ฉบับ หรือที่ถูกกล่าวขานว่าเป็น กฎหมายขายชาติ ที่หนึ่งใน 11 ฉบับมีกฎหมายทุนรัฐวิสาหกิจ หรือกฎหมายขายรัฐวิสาหกิจ ที่ก่อให้เกิดการลุกฮือคัดค้านหลายระลอกตามมาอย่างต่อเนื่องหลายปี ภายใต้วิกฤตเศรษฐกิจเช่นนี้ ส่งผลให้แรงงานในระบบถูกเลิกจ้างเป็นจำนวนมาก โดยมีข้อมูลจากสำนักงานประกันสังคมเปิดเผยว่า มีจำนวนลูกจ้างถูกเลิกจ้างตลอดปี 2540 เป็นจำนวน 408,557 คน และตัวเลขยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงช่วงสิ้นปี 2541 มีลูกจ้างถูกเลิกจ้างและลาออกอีกอย่างต่ำ 2.9 แสนคน รวมทั้งสิ้นเกือบ 7 แสนคน ยังไม่นับรวมกิจการขนาดเล็ก กิจการก่อสร้างที่ไม่ได้แจ้งเข้าระบบประกันสังคมอีกด้วย และที่สำคัญ แรงงานส่วนใหญ่เหล่านี้มักไม่ได้รับเงินค่าชดเชยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ผู้ใช้แรงงานในหลายกิจการถูกลดค่าจ้าง รวมถึงสวัสดิการ มีการเอารัดเอาเปรียบหลากหลายรูปแบบในวิกฤตช่วงนั้น โดยมีข้อมูลจากศาลแรงงานกลางระบุว่า จำนวนคดีที่ขึ้นสู่ศาลแรงงาน… Continue reading แรงงานภายใต้วิกฤตเศรษฐกิจ