เทียนวรรณ

เทียนวรรณ หรือ เทียน วัณณาโภ นามปากกา “ต.ว.ส. วัณณาโภ”  (พ.ศ. 2385 – 2458) นับเป็นหนึ่งในปัญญาชนหัวก้าวหน้าที่ปรากฏขึ้นในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยปัญญาชนหลายคนในช่วงก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ได้เห็นถึงความสำคัญและความทุกข์ยากของผู้ใช้แรงงาน จนเกิดการสะท้อนปัญหา ตลอดจนเรียกร้องสิทธิอันพึงมีพึงได้ให้แก่ผู้ใช้แรงงานอย่างจริงจัง ผ่านการใช้ปากกาและงานเขียนของตน หรือเคลื่อนไหวเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมกับผู้ใช้แรงงาน และหนึ่งในปัญญาชนนักคิดเหล่านั้นก็คือ “เทียนวรรณ”  เทียนวรรณ เป็นนักคิดสามัญชนรุ่นบุกเบิก เป็นทนายความ และเป็นผู้ทำหนังสือตุลวิภาคพจนกิจ และหนังสือศิริพจนภาค ออกมาเพื่อเผยแพร่ความคิดสมัยใหม่ เขาเป็นผู้เล็งเห็นความสำคัญของชนชั้นผู้ใช้แรงงานในขณะยุคสมัยนั้นที่ถูกเรียกขานว่า “ไพร่-ทาส” เขาเรียกร้องให้นำเอาระบบรัฐสภามาใช้ในการเมืองไทย เพื่อให้ผู้คนได้เสมอภาคกันในสังคม และนั่นทำให้เขาต้องถูกคุมขังอยู่นานถึง 17 ปี เนื่องจากความคิดของเขาก้าวหน้าเกินกว่าที่ผู้ปกครองในสมัยนั้นจะรับได้ ไพร่เป็นพื้นยืนร้องทำนองชอบ ตามระบอบปาลิเมนต์ประเด็นขำ แม้นนิ่งช้าล้าหลังยังมิทำ จะตกต่ำน้อยหน้าเวลาสาย ขอให้เห็นเช่นเราผู้เฒ่าทัก บำรุงรักษาชาติสะอาดศรี ทั้งเจ้านายฝ่ายพหลและมนตรี จะเป็นศิวิไลซ์จริงอย่างนิ่งนาน ให้รีบหาปาลิเมนต์ขึ้นเป็นหลัก จะได้ชักน้อมใจไพร่สมาน เร่งเป็นฟรีปรีดาอย่าช้ากาล รักษาบ้านเมืองเราช่วยเจ้านาย

หนังสือทรัพยศาสตร์

หนังสือทรัพยศาสตร์ถือเป็นตำราเศรษฐศาสตร์เล่มแรกของประเทศสยาม (ไทย) ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2454 ผู้เขียนคือพระยาสุริยานุวัตร หรือ เกิด บุนนาค ซึ่งเป็นขุนนางผู้ไม่พอใจในความล้าหลังของระบบเศรษฐกิจและการปกครองของรัฐบาล “ข้างคนชั้นต่ำถึงจะอุตส่าห์ทำการเหน็ดเหนื่อยสักเท่าใดก็ได้ค่าแรงไม่พอจะเลี้ยงชีพให้มีความสุขเสมอไม่ได้แต่ฝ่ายชนชั้นสูงแม้แต่จะไม่ได้ทำงานอย่างใดหากมีทุนทรัพย์สมบัติสะสมอยู่มากก็ได้รับผลประโยชน์ซึ่งเกิดจากทุนและทรัพย์สมบัตินั้นเป็นธรรมดา”  หนังสือทรัพยศาสตร์แบ่งออกเป็น 3 ภาค ได้แก่ การผลิต การกระจายรายได้ การค้าและการแลกเปลี่ยน ภาคที่เป็นปัญหานำมาสู่การวิพากษ์วิจารณ์โดยฝ่ายรัฐบาล และถูกโจมตีทางการเมืองมากที่สุด คือ ภาคที่สองว่าด้วยการกระจายรายได้ เพราะกล่าวถึงกลไกความยุติธรรมของผลตอบแทน และที่มาของรายได้ของผู้ที่เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตรูปแบบต่าง ๆ อาทิ ค่าเช่าที่ดิน กำไร ค่าแรง สมาคมของคนงาน (แนวคิดในลักษณะสมัยกลาง ไม่ใช่แนวคิดสหภาพแรงงานยุคปัจจุบัน) แต่ถึงกระนั้น พระยาสุริยานุวัตรก็ไม่ได้สนับสนุนแนวทางการขบวนการสหภาพแรงงานที่มีการเจรจาต่อรองและการนัดหยุดงาน เพราะมองว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนหลักการเสรีนิยมและเป็นการทำลายประโยชน์ของสังคม เช่นเดียวกันกับความเห็นของบรรดานักเศรษฐศาสตร์คลาสสิกทั่วไป ท้ายที่สุดการอธิบายเนื้อหาในหนังสือโดยการพยายามอ้างอิงบริบทของสังคมขณะนั้น ทำให้รัฐบาลในช่วงเวลานั้นมองว่าทรัพยศาสตร์เป็นหนังสือแนวปฏิวัติจึงถูกห้ามตีพิมพ์และห้ามใช้ในการสอนวิชาเศรษฐศาสตร์ในสมัยรัชกาลที่ 7 และกลายเป็นหนังสือต้องห้ามในที่สุด อ้างอิง แล ดิลกวิทยรัตน์. “แรงงานในทรัพย์ศาสตร์: ทัศนะทุนนิยมในยุคศักดินา.” ใน ประวัติศาสตร์แรงงานไทย (ฉบับกู้ศักดิ์ศรีกรรมกร), บรรณาธิการโดย ฉลอง สุนทราวาณิชย์ สุวิมล รุ่งเจริญ ศักดินา ฉัตรกุล… Continue reading หนังสือทรัพยศาสตร์

จดหมาย ร.5 ถึงกรมพระยาดำรงฯ เรื่องเลิกทาส

ระบบเศรษฐกิจและการผลิตแบบใหม่ที่อาศัยแรงงานรับจ้างเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่เกิดขึ้นในซีกโลกตะวันตกได้ขยายตัวคืบคลานไปทุกพื้นที่ของโลกไม่เว้นแม้แต่สยามประเทศ ระบบการบังคับเกณฑ์แรงงานแบบดั้งเดิม กลายเป็นเรื่องป่าเถื่อน ล้าสมัยและเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจไม่สอดคล้องกับสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เกิดกระแสเรียกร้องจากชนชั้นล่างของสังคมเพื่อให้ยกเลิกพันธนาการ และการขูดรีดแรงงานในระบบศักดินา รูปธรรมที่เห็นได้ชัดเจนคือการลุกขึ้นก่อกบฏของไพร่ในหลายพื้นที่ หลายช่วงเวลา และที่สำคัญแหล่งอำนาจและความมั่งคั่งของชนชั้นนำในสังคม ณ ช่วงเวลานั้นหาได้มาจากการบังคับเกณฑ์แรงงานแบบเดิมอีกต่อไป ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ด้วยกระแสความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว สภาวะจำยอมในการตราพระราชบัญญัติยกเลิกระบบไพร่-ทาสจึงเกิดขึ้นและมีผลบังคับใช้ในกาลต่อมา ทั้งจากเหตุผลข้างต้นและเหตุผลด้านการเมืองภายในประเทศ ผลของการยกเลิกระบบไพร่-ทาส ซึ่งนับเป็นการลดอำนาจของกลุ่มขุนนางลงด้วยในทางปฏิบัติในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้น ทำให้ประชากรสยามในขณะนั้นที่มีราว 8.13 ล้านคน ซึ่งเป็นเจ้านายขุนนางที่ถือเป็นชนชั้นปกครองประมาณ 1 ล้านคน กลุ่มคนที่เป็นไพร่ 5.78 ล้านคน และทาส 1.35 ล้านคน มีฐานะเท่าเทียมกันในทางทฤษฎี เอกสารทางประวัติศาสตร์ข้างต้น เมื่อรัฐบาลมีนโยบายเลิกทาสแบบค่อยเป็นค่อยไป รัชกาลที่ 5 ได้ทำจดหมายบันทึกถึงกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ให้เตรียมการให้การศึกษากับบรรดาลูกทาสที่จะได้เป็นไทหลังอายุครบ 20 ปี เพื่อให้มีความรู้ไปทำมาหากินไม่ขายตัวลงเป็นทาสอีกต่อไป